วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
การค้นพบ กฎ 90/10
กฎนี้จะทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไป (อย่างน้อยที่สุดก็ในเรื่องที่คุณมีปฏิกริยาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหลาย)กฎนี้ว่าอย่างไรล่ะ? ชีวิตของคุณประกอบไปด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวคุณแค่ 10% แต่อีก 90%ของชีวิตคุณขึ้นอยู่กับว่าคุณมีปฎิกริยาตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่างๆอย่างไรมันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ? เราไม่สามารถจะควบคุมสิ่งต่างๆ 10% ที่มันเกิดขึ้นกับเราได้เราไม่สามารถห้ามไม่ให้รถเสียได้ เราห้ามไม่ให้เครื่องบินถึงช้ากว่าตารางที่กำหนดไม่ได้ – ซึ่งจะทำให้ตารางกำหนดการต่างๆของเรายุ่งเหยิงไปหมด เราห้ามไม่ให้คนอื่นๆ ขับรถปาดหน้ารถเราไม่ได้สิ่งเหล่านี้ เราไม่สามารถควบคุม เจ้า 10% นี้ได้ แต่เจ้า 90% นี่สิ...มันต่างกัน คุณสามารถกำหนดเจ้า 90% ที่เหลือได้ทำได้ยังไงกัน? ...ก็โดยที่เรามีปฎิกริยาตอบสนองต่อสิ่งต่างๆไงล่ะคุณไม่สามารถควบคุมไฟสัญญาณจราจรได้ แต่คุณสามารถควบคุมตัวคุณให้ตอบสนองต่อสัญญาณไฟจราจรได้ อย่าให้ใครมาหลอกคุณได้ ตัวคุณสามารถควบคุมได้ว่าตัวคุณจะแสดงปฎิกริยาออกมาอย่างไรลองดูตัวอย่างครับคุณกำลังทานอาหารเช้ากับครอบครัวอยู่ ลูกสาวบังเอิญปัดถ้วยกาแฟหกใส่เสื้อทำงานของคุณ คุณไม่สามารถควบคุมสิ่งที่ได้เกิดขึ้นไปแล้วได้แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปจะเป็นผลจากการที่ท่านแสดงปฎิกริยาออกไปอย่างไรท่านสถบท่าน ดุลูกสาวอย่างเกรี้ยวกราดที่ทำกาแฟหก ลูกสาวร้องไห้ด้วยความเสียใจ หลังจากที่ได้ดุลูกไปแล้ว คุณหันไปที่ภรรยาแล้วต่อว่าที่เธอวางถ้วยกาแฟไว้ใกล้ขอบโต๊ะมากเกินไป ต่อมาก็เป็นการทุ่มเถียงกัน แล้วคุณก็รีบขึ้นไปห้องชั้นบนเพื่อเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ จากนั้นก็กลับลงมาชั้นล่างแล้วก็พบว่าลูกสาวยังร้องไห้ไม่เลิก ก็เลยทานอาหารเช้าไม่เสร็จ พอรถโรงเรียนมารับ เธอก็ออกไปไม่ทันรถโรงเรียนที่มารับภรรยา คุณต้องรีบไปที่ทำงานแต่เช้าวันนี้ คุณเลยต้องรีบออกรถเพื่อไปส่งลูกสาวก่อน เพราะว่าออกจากบ้านสายคุณก็เลยต้องรับ คุณขับรถ 60 ก.ม. ต่อชั่วโมง ในเขตในเมืองที่ไม่ควรขับเร็วกว่า 40 ก.ม. ต่อชั่วโมงหลัง จากที่สายไป 15 นาที และเสียค่าปรับให้ตำรวจไปแล้ว ในที่สุดก็ถึงโรงเรียน ลูกสาวก็วิ่งเข้าโรงเรียนโดยที่ไม่ได้สวัสดีลา พอมาถึงที่ทำงานสายไป 20 นาที ก็นึกได้ว่าาลืมกระเป๋าเอกสารไว้ที่บ้าน การทำงานก็เริ่มต้นด้วยความขรุกขระ เวลาผ่านไป ก็ยิ่งแย่ลงเรื่อยๆ ก็ได้แต่ตั้งหน้าตั้งตารอให้ถึงเวลาเลิกงานเมื่อคุณกลับมาถึงบ้าน ก็พบว่าความสัมพันธ์ของคุณกับลูกสาวและภรรยามีรอยร้าวซะแล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ?...ก็เพราะสิ่งที่คุณแสดงปฎิกริยาออกไปเมื่อเช้านี้ไงล่ะทำไมคุณถีงมีวันอะไรที่เฮงซวยอย่างนี้?ก กาแฟทำให้มันเกิดขึ้นหรือเปล่าข ลูกสาวทำให้เป็นอย่างนี้หรือค ตำรวจทำหรือไม่ง คุณทำให้มันเป็นเองไม่ใช่หรือคำตอบที่ถูกต้อง คือ ข้อ งคุณ ไม่สามารถควบคุมอระไรได้กับการที่กาแฟหก แต่ว่าสิ่งที่คุณแสดงปฎิกริยาตอบสนองภายใน 5 วินาทีต่อสิ่งที่เกิดขึ้นนั่นแหละที่ทำให้คุณเจอกับวันที่เฮงซวยนี่เป็นสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น และ ควรจะเกิดขึ้นกาแฟหกใส่คุณ ลูกสาวกำลังหน้าเบ้จะร้องไห้ คุณพูดอย่างนุ่มนวลว่า "ไม่ เป็นไรจ้า คราวหน้าหนูระวังๆหน่อยนะ" คุณเอื้อมมือไปหยิบกระดาษมาเช็ดแล้ววิ่งขึ้นชั้นบนไป คุณลงมาชั้นล่างหลังจากเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่พร้อมกับหิ้วกระเป๋าเอกสารติดมา ด้วย ทันเวลาที่มองลอดหน้าต่างไป เห็นลูกกำลังจะไปขึ้นรถโรงเรียน เธอหันกลับมาโบกมือลาพร้อมสวัสดี คุณไปถึงที่ทำงานก่อนเวลา 5 นาทีแล้วมีเวลาทักทายคนโน้นคนนี้ด้วยอารมณ์ที่สดชื่น เจ้านายออกปากว่าคุณต้องมีอะไรดีแน่เลยวันนี้ถึงได้อารมณ์แจ่มใสเห็นความแตกต่างไหมครับ?เหตุการณ์จำลอง 2 แบบ ทั้งคู่เริ่มต้นเหมือนกัน แต่จบลงต่างกันทำไมล่ะ?เพราะสิ่งที่คุณแสดงปฎิกริยาตอบสนองออกไปไงล่ะคุณไม่มีทางที่จะควบคุมเจ้า 10% ของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวคุณได้ แต่อีก 90% น่ะขึ้นอยู่กับการแสดงปฎิกริยาตอบสนองของคุณออกไปยังไงล่ะลอง มาดูวิธีต่างๆที่จะนำกฎ 90/10 ไปใช้ ถ้าหากมีใครบางคนพูดจาที่ทำให้คุณเสียหาย ก็อย่างทำตัวเป็นฟองน้ำล่ะ (รับเอาสิ่งเหล่านั้นเข้าตัว) จงปล่อยให้มันไหลไปซะเถอะ เหมือนน้ำที่ไม่ติดอยู่บนแผ่นแก้วนั่นแหละ จงอย่าปล่อยให้คำพูดกล่าวร้ายทำให้คุณประสาทเสียซะล่ะตอบ สนองให้ดีแล้วสิ่งทั้งหลายจะไม่มีวันทำให้คุณเจอกับวันเฮงซวยได้ การมีปฎิกริยาตอบสนองที่ผิดพลาด อาจทำให้เสียเพื่อน โดนไล่ออกจากงาน ประสาทเสีย และอื่นๆคุณมีปฎิกริยาตอบสนองอย่างไรหากมีคนขับรถปาดหน้ารถคุณ? คุณเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวหรือเปล่า เอามือทุบพวงมาลัยพร้อมด่าแม่มันในใจใช่ไหม? เพื่อนของผมคนหนึ่งเคยทำพวงมาลัยรถหลุด... คุณ สถบ ตะโกนด่าหรือไม่? เลือดของคุณสูบฉีดปรีดจนเส้นเลือดบนหน้าผากโป่งเลยหรือเปล่า? คุณพยายามหรือแกล้งขับรถไปเฉี่ยวรถคันนั้นจริงๆหรือไม่?ใครสนล่ะ หากคุณไปทำงานสาย 10 วินาที ทำไมปล่อยให้รถเนี่ยมีบทบาทต่อการขับรถของคุณล่ะกรุณาจำกฎ 90/10 ให้ขึ้นใจ แล้วไม่ต้องไปสนใจมันถ้าเขาแจ้งคุณว่าคุณถูกให้ออกจากงานทำไม จะต้องหงุดหงิดและนอนไม่หลับด้วยล่ะ มันก็จะลงตัวเองล่ะ แทนที่จะเสียเวลาและกำลังไปกับการกังวลก็ให้ประหยัดพลังและเวลาเอาไว้ใช้หา งานใหม่ไม่ดีกว่าหรือเครื่องบินมาถึงที่หมายช้ากว่ากำหนดการ; มันก็อาจทำให้กำหนดการทั้งวันของคุณยุ่งเหยิงไปหมด ทำไมคุณถึงไปปล่อยอารมณ์บูดใส่พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินล่ะ พวกเขาไม่ได้เป็นคนควบคุมให้เครื่องบินมาตรงเวลาได้ซะหน่อยทำไมไม่ใช้เวลาทำความรู้จักกับผู้โดยสารคนอื่นๆล่ะ ทำไมจะต้องเครียดด้วย นั่นยิ่งทำให้สิ่งต่างๆแย่ลงไปกว่าเดิมอีกตอนนี้ พวกคุณรู้เรื่อง กฎ 90/10 แล้ว นำกฎนี้ไปใช้แล้วคุณจะปลาดใจกับสิ่งดีๆที่ได้รับท่านจะไม่เสียอะไรเลย ถ้าท่านลองใช้กฎนี้ กฎ 90/10 นี่ยอดเยี่ยมากเลย มีคนจำนวนไม่มากที่รู้จักและนำกฎนี้ไปใช้ผลล่ะเป็นอย่างไร?คนหลายล้านที่มีปัญหาจากความเครียด การฟ้องร้อง ปัญหาต่างๆ และเรื่องกวนใจ เราทั้งหมดต้องเข้าใจและนำกฎ 90/10 ไปใช้กฎนี้สามารถทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไปได้ขอให้สนุกครับ.......
ผู้เขียน : Stephen Coveyที่มา: FWD Email
หากเราเป็นอย่างเค้า
ลักษณะการพูดของแต่ละคนเป็นยังไง
ลายมือสื่อภาษาใจ
ลองอ่านกันดูว่าคุณหรือคนใกล้ชิดของคุณเป็นคนยังไงจากการอ่านลายมือดังต่อไปนี้1. ตัวหนังสือไม่สม่ำเสมอคนที่เขียนตัวหนังสือเหมือนคนสับสนในตัวเองเดี๋ยวตัวเล็กเดี๋ยวตัวใหญ่ แสดงว่าเป็นคนไม่ค่อยจะทันโลกยังมีความเป็นเด็กอยู่มาก คิดอะไรก็ง่ายๆ ตรงๆ ไม่ซับซ้อนเรื่องที่จะมาวางแผนยอกย้อนหลอกคน ลืมไปได้เลย คุณเป็นคนที่ถูกชักจูงง่าย เพื่อนว่ายังไงก็ว่าตามกัน แต่เป็นคนขี้เล่นใจดี ไม่มีพิษมีภัย มีแต่คนอื่นนั่นล่ะจะมาเป็นพิษเป็นภัยกับคุณเสียมากกว่า ดูแลตัวเองหน่อย ไม่งั้นถูกหลอกไปขายล่ะแย่เลย2. ตัวหนังสือตัวโตคนที่เขียนหนังสือตัวเท่าโอ่งเป็นคนใจกว้างเป็นโอ่งน้ำ (ส่วนรูปร่างจะเหมือนโอ่งด้วยหรือเปล่า อันนี้ตำราไม่ได้บอกไว้) มีน้ำใจ จริงใจ ตรงไปตรงมา ใครๆก็รัก แถมยังเป็นคนคุมสติได้ดีเวลามีสถานการณ์เสี่ยงตายคนนี้นี่แหละจะเป็นที่พึ่งของใครๆ หลายคน3.ตัวหนังสือตัวหนักคนที่เขียนหนังสือแบบกดหนักๆ เหมือนโกรธใครมาเป็นชาติ เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเอง เก่ง มีความสามารถรอบตัว รับรองว่าชีวิตนี้ไม่มีคำว่าอดตายแน่ๆ แต่ค่อนข้างจะเป็นคนเอาแต่ใจ เชื่อมั่นในความคิดของตัวเองมากจนเหลิง ลืมฟังความเห็นของคนอื่น ออกแนวดูถูกคนอื่นนิดๆ หลงตัวเองหน่อยๆ แถมบ้าอำนาจอีกด้วย 4. ตัวหนังสือบางๆมาตรงข้ามกับคนข้างบน คนๆ นี้จะเป็นพวกไม่มีเรี่ยวแรง เขียนหนังสือเหมือนคนลืมกินข้าว กดน้ำหนักแต่ละทีคนอ่านแทบมองไม่เห็น แต่ถึงจะผอมแห้งแรงน้อยอย่างนี้ ก็มีพลังทางความคิด เป็นคนช่างจินตนาการ คิดอะไรเป็นตุเป็นตะได้ทั้งวัน จนบางทีก็เข้าขั้นคิดมาก หรือคิดฟุ้งซ่านไปโน่นเลย เป็นคนขี้อาย ไม่ค่อยกล้าแสดงความเห็น สุภาพ เกลียดการใช้กำลัง ไม่ชอบมีเรื่องกับใคร อะไรยอมได้ก็ยอมๆ กันไป ถ้าคบกับคนๆ นี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไปสะดุดเท้าใคนเข้าจนต้องไปเกิดใหม่ก่อนวัยอันควร5. ตัวหนังสือหวัดไม่รู้จะรีบไปไหน ถึงต้องรีบเขี่ยให้เสร็จๆ ไป คนแบบนี้เป็นพวกชอบอยู่ในโลกของตัวเอง ไม่ชอบให้มีชาวบ้านเข้าไปยุ่งด้วย เจ้าอุดมการณ์ ถ้าสนใจเรื่องอะไรแล้วจะทุ่มสุดๆ ทำแบบลืมตัวลืมตายกันไปข้างหนึ่งเลย ข้อดีคือเป็นคนรักใครแล้วรักจริง ไม่นิยมเลี้ยงกิ๊ก แต่อาจจะใจร้อนไปหน่อย ต้องคบกับคนใจเย็นถึงจะไปกันรอด6. ตัวหนังสืออ้วนรูปร่างจะกลมหรือเปล่าไม่รู้ แต่ตัวหนังสือน่ะ กลมๆ อ้วนๆ แน่ๆ ลายมือแบบนี้เป็นลายมือคนเจ้าเสน่ห์ มองโลกในแง่ดี จิตใจดีไม่คิดร้ายใคร ไปที่ไหนก็มีแต่คนรัก เป็นคนใจอ่อน ใครขอร้องอะไรก็รีบช่วยทันที โดยไม่มีคิดเล็กคิดน้อย บางทีก็เลยเสียเปรียบคนอื่นอยู่บ้าง ข้อเสียคือเป็นคนไม่มั่นคง ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ก็เลยเป็นใหญ่เป็นโตลำบาก เพราะคนที่จะเป็นเจ้าคนนายคนได้น่ะ ต้องเหี้ยมและเขี้ยวลากดินกว่านี้7. ตัวหนังสือเป็นระเบียบคนๆ นี้เป็นคนจริงจัง ทุ่มเทให้กับงาน และจะเชื่อในความคิดของตัวองมาก เชื่อว่าตัวเองเก่ง ใครขวางข้าเอ็งนั่นแหละผิด ใครจะมองตัวเองยังไงก็ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะคนอย่างข้าคือความถูกต้อง เฮ้อ...!8. ตัวหนังสือผอมๆตัวหนังสือยังผอมแล้วใจจะอ้วนได้ยังไง คนๆ นี้ก็เลยเป็นคนใจน้อย อ่อนไหว หัวใจเปราะบาง เพื่อนแหย่นิดแหย่หน่อยก็เอาไปนอนน้อยใจแล้ว รักชีวิตสงบ เรียบง่าย ไม่ชอบออกไปแด๊นซ์เต้นแร้งเต้นกายามราตรี และเป็นคนทำงานเนี้ยบ ทำอะไรต้องเพอร์เฟ็คเท่านั้น เป็นลูกน้องหัวแก้วหัวแหวนที่เจ้านายรักมากๆ เพราะทำงานได้ใจนายทุกอย่าง......เป็นยังไงกันบ้าง คุณล่ะเป็นคนเขียนหนังสืออยู่ในประเภทไหน...บอกกันบ้างนะ..ยังไงก็อ่านเพื่อความบันเทิงนะจ๊ะ...ถ้าไม่ตรงก็ไม่ต้องซีเรียสที่มา: FWD Email (ไม่ทราบผู้เขียน ยังไงก็ขอขอบคุณที่นำมาแบ่งปันนะครับ)
ผู้หญิงแบบนี้ซิที่อยากได้เป็นเมีย
เรื่องเล่าของ 2 ตาหลาน
บ่ายแก่ๆ ในวันหยุดสุดสัปดาห์ หลานชายตัวจ้อยพาคุณตาไปเดินเล่นในสวนหลานชาย: คุณตา..ดูนั่นสิฮะ หลานพูดพลางเอามือชี้ไปที่ไส้เดือนคุณตา: ก็แค่ไส้เดือนกำลังจะเลื้อยลงรู มีอะไรเรอะ?หลานชาย: ตาเชื่อมั้ย ว่าผมน่ะจับเจ้าไส้เดีอนนี่ยัดลงรูได้นะคุณตา: (พูดอย่างยิ้มเยาะ) ตาว่า เจ้าทำไม่ได้ร้อก! ก็ตัวมันทั้งนิ่มทั้งลื่นอย่างนั้นเจ้าจะจับมันใส่รูได้ยังไงล่ะ ... เอาเป็นว่า ถ้าเจ้าทำได้ตาจะให้ตังค์กินขนม 20 บาทหลานชาย: แน่นะฮะ งั้นรอผมเดี๋ยวพูดเสร็จเจ้าหลานชายก็วิ่งปรู๊ดดด... เข้าไปในบ้าน และอีก 5 นาทีต่อมาเจ้าหนูกลับมาพร้อมกับ สเปรย์แต่งผม ในมือ เมื่อมาถึงก็เล็งไปที่ไส้เดือนและฉีดไปเต็มแรง จนมันแข็งตัวเป็นเส้นตรงหลานชาย: (หยิบไส้เดือนยัดลงรู) นี่ไงฮะตา ลงรูไปอย่างง่ายดาย คุณตา: ยื่นเงินให้หลาน 20 บาท พร้อมทั้งหยิบสเปรย์แต่งผมกระป๋องนั้น เดินโขยกเขยกเข้าบ้านครึ่งชั่วโมงต่อมา คุณตากลับมาหาที่สวนพร้อมยื่นเงินให้หลานอีก 20 บาทหลานชาย: คุณตาให้เงินผมมาแล้วนี่ฮะคุณตา: ใช่ แต่นี่ของยายเค้าฝากมาหลานชาย: ?!?
ทำงานไม่ตรงกัน
มีผัวเมียคู่หนึ่งชึ่งทำงานไม่ตรงกันคือผัวทำงานกลางคืน เมียทำงานกลางวันมีอยู่วันหนึ่ง ...ผัวกลับจากทำงานนึกยากจะอึบเมียจะบอกตรงๆก็กลัวลูกจะได้ยินจึงแกล้งบอกเมียอ้อมๆ ว่า...นี่ๆ แม่เตรียมเครื่องพิมม์ดีดไว้ด้วยนะวันนี้อยากจะพิมม์ดีดฝ่ายเมียแต่งตัวเสร็จแล้วจะไปทำงานไม่มีอารมณ์จึงตอบออกไปว่า..วันนี้เครื่องพิพม์เสียใช้ไม่ได้เธอจึงเดินออกไปทำงานปล่อยให้ผัวยืนอารมณ์ค้างสักครู่จึงเดินเข้าห้องน้ำไปสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองฝ่ายเมียออกไปได้สักพักใหญ่ๆนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ยุ่งกับผัวมาหลายเดือนแล้วจึงกลับมาบ้านพร้อมบอกกับผัวว่า...ที่รักๆๆ เครื่องพิพม์ใช้ได้แล้วนะ...ไปซ่อมมาแล้วฝ่ายผัวตอบอย่างห้วนๆว่า....ไม่พงไม่พิพม์แล้วเขียนด้วยมือไปแล้ว...
ต้องแสดงหลักฐานแล้วแบบนี้
ชายคนหนึ่งเพิ่งย้ายบ้านเข้าไปอยู่ในชนบท ในวันหนึ่งเขาไปหาซื้ออาหารให้ไก่ที่เลี้ยงเอาไว้กินไข่ เขาเจอร้านขายของชำเพียงร้านเดียวที่อยู่ห่างไปประมาณ 5 กิโลเมตร เมื่อเข้าไปในร้านขอซื้ออาหารไก่ เจ้าของร้านรีบหยิบมาให้ แต่บอกว่า "ก่อนจ่ายเงิน คุณต้องแสดงให้เราเห็นว่าคุณเลี้ยงไก่จริงๆ เรากลัวว่าคนซื้อจะเอาไปกินเอง หรือ เอาไปใช้อย่างอื่น คนเลี้ยงไก่จริงๆ ถึงจะซื้ออาหารไก่ได้" ชายคนนั้นคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุดที่เขาเคยพบมาจึงเกิดการโต้เถียงกัน ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้ ขับรถกลับบ้านอุ้มไก่ตัวหนึ่งไปให้เจ้าของร้านดูเขาจึงซื้ออาหารไก่ได้ สัปดาห์หนึ่งผ่านไป ชายคนนั้นไปซื้ออาหารหมาที่ร้านเดิม ด้วยความสะเพร่าเขาลืมอุ้มเจ้าหมา มาด้วย เจ้าของร้านยืนกรานที่จะต้องเห็นตัวหมาก่อนจึงจะยอมขายให้ เขาต้องเสียเวลาย้อนกลับมาอุ้มหมา กลับไปจึงสามารถซื้ออาหารหมาได้ สองสามวันต่อมา ชายคนนี้ได้ไปที่ร้านเดิมอีกครั้ง คราวนี้เขาถือกล่องรองเท้าที่ปิดฝาไว้อย่างมิดชิด แต่เจาะรูเล็กๆ ไว้รูหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปในร้าน เขาวางกล่องลงบนเคาน์เตอร์ "ลองเอานิ้วแหย่ลงไปในรู แล้วจิ้มเอามาดมดูซิ" ชายคนนั้นบอกเจ้าของร้าน หลังจากเจ้าของร้านแหย่นิ้วลงไปและควักออกมาดมดูก็ร้องลั่น "เฮ้ย! นี่มันอึนี่..." "เออ ขอซื้อกระดาษชำระม้วนนึงซิ'
เด็กคนนี้เจ่งดีชอบซักถาม
คนบ้าเถียงกันใช้ได้เชียว
คนไข้คนแรก .. "ข้านี่แหละคือฮิตเลอร์ผู้ยิ่งใหญ่"
คนไข้คนที่สอง.."ฮิตเลอร์มีคนเดียวคือฉัน"
คนไข้คนแรก.. "พูดให้สวยนะ ฉันโว้ย..คือฮิตเลอร์ตัวจริง"
คนไข้คนที่สอง.."ใครบอกแกว่ะว่าเป็นตัวจริง"
คนไข้คนแรก.. "พระเจ้าโว้ย"
ทันใดก็มีเสียงหนึ่งสวนออกมาจากข้างๆ เตียงว่า "เฮ้ยๆ ..ข้าไม่ได้บอกน่ะโว้ย"
คนเมามีสารพัดเลยเน้อ
ฮาแบบเล็กๆๆ
ชายคนหนึ่งขึ้นรถเมล์และเดินเข้าไปจะนั่งข้างสาวสวย
หญิงสาว : อุ๊ยพี่ ! ระวังไข่นะคะ หญิงสาวบอกและชี้ไปที่ถุงที่วางอยู่
ชายหนุ่ม : ถุงไข่เหรอจ๊ะ
น้องสาว หญิงสาว : ถุงทุเรียนค่ะ
วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
ธรรมชาติของคนก่อนแต่งงาน-หลังแต่งงาน
เขา: ใช่เลย! ในที่สุดก็ถึงเวลาซักที ผมรอไม่ไหวแล้ว
เธอ: เธอคิดจะเลิกกับฉันไหม?
เขา: ไม่แน่นอน อย่าแม้แต่เพียงแค่คิด
เธอ: เธอยังรักฉันอยู่หรือเปล่า?
เขา: แน่นอน!
เธอ: เธอเคยคิดจะเอาเปรียบฉันบ้างหรือเปล่า?
เขา: ไม่หรอก! ทำไมเธอถามอย่างนี้ละ
เธอ: เธอจะทำการจูบฉันไหม?
เขา: ทำซิ!
เธอ: เธอจะทำร้ายฉันไหม?
เขา: ไม่มีทาง! ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น
เธอ: ฉันจะไว้ใจคุณได้ไหม?
ปัจจุบัน หลังจากแต่งงาน (คุณแค่อ่านจากบรรทัดล่างสุด ขึ้นด้านบนก็จะได้คำตอบแบบนี้)
เธอ: ฉันจะไว้ใจคุณได้ไหม?
เขา: ไม่มีทาง! ฉันไม่ใช่คนแบบนั้น
เธอ: เธอจะทำร้ายฉันไหม?
เขา: ทำซิ!
เธอ: เธอจะทำการจูบฉันไหม?
เขา: ไม่หรอก! ทำไมเธอถามอย่างนี้ละ
เธอ: เธอเคยคิดจะเอาเปรียบฉันบ้างหรือเปล่า?
เขา: แน่นอน!
เธอ: เธอยังรักฉันอยู่หรือเปล่า?
เขา: ไม่แน่นอน อย่าแม้แต่เพียงแค่คิด
เธอ: เธอคิดจะเลิกกับฉันไหม?
เขา: ใช่เลย! ในที่สุดก็ถึงเวลาซักที ผมรอไม่ไหวแล้ว
โอ้ว… พระเจ้านี่แหละหนอเขาเรียกว่าความรัก… แรกๆ อะไรก็ดูดีไปหมด แต่นานๆ ทุกอย่างกลับกันหมดเลย…
ระวังผู้หญิงเอาแต่ใจสามีเลยมีเมียน้อย
ผู้หญิงโปรดระวัง จะโดนพาเข้าม่านรูด
ผู้ชายส่วนใหญกับความซิงค์ของแฟน
เรื่องสารภาพจากสาวอ่างอบนวด
ส่วนดิฉันก็เดือดร้อนต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ แขกที่สวมถุง ดิฉันก็ให้ที่อยู่ใหม่ และให้หาแขกหรือเพื่อนมาเพิ่มทำให้รายได้อยู่ในระดับ เดิม แต่ในระยะหลัง ๆ คุณภาพชีวิตของดิฉันดีขึ้นสุขภาพดีจนเกือบปกติ รับแขกได้มากและแขกก็สวมถุงยางทุกคนทุกครั้ง ยกเว้นแขกใหม่ที่เพื่อนแขกแนะนำมา ซึ่งใช้บริการดิฉันมาเกือบครึ่งปีแล้ว นัดดิฉันไปเที่ยวตากอากาศชายทะเลที่ระยองบอกว่าจะมีเ พื่อนอีก 3 คนไปด้วย ให้ราคาดีดิฉันจึงไปกับเขา เขาจะให้ดิฉันดื่มเหล้า ดิฉันก็ไม่ดื่ม เพราะไม่ถูกกับโรคเวลาทานยา ต้องเข้าห้องน้ำแอบทาน เขาเมามายและหื่นมาก ๆ ร่วมกับดิฉันนัวเนีย ไปหมดพร้อมกัน โดยชาย 4 คนทำเหมือนหนังเอ็กซ์ฝรั่งที่สำคัญบังคับดิฉันโดยไม่ สวมถุง ดิฉันจะบอกว่าเป็นอะไรกลัว เขาไม่เชื่อและหากเชื่อก็ต้องทำร้ายดิฉัน เขานอนพร้อม ๆ กับดิฉันตลอด 3 วัน ทำให้เขาทุกอย่าง จนระบมไปหมด ได้ค่าเหนื่อยมาสองหมื่นบาท ดิฉันน่ะคุ้มมาก แต่พวกเขาจะคุ้มหรือไม่ฉันรู้ดี และคิดว่าทุกคนต้องติดโรคจากดิฉันแน่นอน อย่างน้อยที่ดิฉันจำได้แต่ละคนร่วมเพศกับดิฉันไม่ต่ำ กว่าคนละ 6 ครั้ง จะไม่มีครั้งใดไม่ติดโรคเชียวหรือ ตอนนี้ต้องย้ายที่อยู่อีกแล้ว จึงอยากขอเตือนนักเที่ยวทั้งหลาย เมื่อเที่ยวผู้หญิง ๆ ห้ามอะไรต้องเชื่อ เพราะว่าเขารู้ตัวเองดี จงตระหนักว่า ผู้หญิงทุก ๆ คนที่คุณไปใช้บริการนั่นกาหัวไว้ก่อนเลยว่าเขาเป็นเอ ดส์ ไม่ ใช่เพราะเขาไม่ป้องกันตัว เป็นเพราะผู้ชายบังคับเขา ดังนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่งที่เขาได้แก้แค้นผู้ชายโดยไม ่ตั้งใจ ติดโรคไปสู่เมียที่บ้าน มีลูกพลอยติดโรคไปด้วย ชีวิตที่เคยเป็นจะเป็นนรก เช่นดิฉันได้รับ....
เรื่องพิลึกอ่านแล้วแปลกๆ
วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
แท๊กซี่ ว่าง!
คุณพ่อครับ...
ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบ รอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู
ลูก: “พ่อครับ , พ่อ ผมมีคำถาม ถามพ่อข้อนึง”
พ่อ : “ว่ามาสิลูก, อะไรเหรอ”
ลูก: “พ่อทำงาน ได้ชั่วโมงละเท่าไรครับ”
พ่อ : “ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่ , ทำไมถามอย่างนี้” พ่อตอบด้วยความโมโห
ลูก: “ผมอยากรู้จริงๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงาน ได้ชั่วโมงละเท่าไหร่ ” ลูกพูดขอร้อง
พ่อ : “ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ”
ลูก: “โอ..” ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง “พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10 เหรียญครับ”
พ่อกล่าวด้วยอารมณ์ “นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงินแล้วไปซื้อของเล่นโง่ๆ อะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะ แล้วลองคิดดูว่า แกเห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลายๆชั่วโมงทุกวัน และไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก”
เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องนอนแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร แต่พอหลังจากนั้นเกือบชั่วโมง อารมณ์ของชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญ นั้นจริงๆ และลูกไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องนอนลูกแล้วเปิดประตูเข้าไป
พ่อ : “หลับหรือยัง ลูก,”
ลูก: “ยังครับ”
พ่อ : “พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป” “นานแล้วนะ ที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก ,เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญ ที่ลูกขอ”
เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง “ขอบคุณครับพ่อ” ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอน หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาแล้วนับช้าๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง “ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขอทำไมอีก”
ลูก: “เพราะผมมีเงินไม่พอครับ แต่ตอนนี้ ผมมีครบแล้ว” “พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง” ..
"พรุ่งนี้ พ่อกลับบ้านเร็วๆนะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ"
แล้วเราชอบดื่มอะไร
ชอบดื่มน้ำหวาน คนที่ชอบดื่มเครื่องดื่มจำพวกน้ำหวานธรรมดา ๆ ง่าย ๆ นั้นมักเป็นคนที่รักสงบ ชอบทำงานประเภทที่มีความมั่นคงปลอดภัย มีรายได้ประจำสม่ำเสมอและหลักประกันในชีวิตที่แน่นอน ความสับสนวุ่นวายเป็นสิ่งที่มักหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอทั้งยังมีความมานะพยายามสูง ค่อนข้างจะยึดมั่นในสิ่งที่ตนคิดเอามาก ๆ ไม่ใช่คนที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้โดยง่าย ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดี มีความสุขอยู่เสมอและมีความหวังในชีวิตอยู่ตลอดเวลา : )
ชอบดื่มน้ำอัดลม สำหรับคนที่ชอบดื่มน้ำอัดลมมากที่สุดนั้น มักเป็นคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเองเอามาก ๆ ไม่ใครสามารถบังคับให้อยู่ในกฎเกณฑ์ได้ ทั้งยังเป็นคนที่ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นเท่าที่ควร แต่ในขณะเดียวกันก็จะเป็นคนที่ให้ความสนใจในเรื่องที่ลึกซึ้งเช่นพวกธรรมะหรือศาสนาและเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ โดยเฉพาะในเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อน นอกจากนี้ยังเป็นคนรักการเดินทางมาก ชอบการผจญภัยตลอดเวลาและไม่เคยย่อท้อต่อความผิดหวัง : )
ชอบดื่มกาแฟ ผู้ที่มีเครื่องดื่มที่ชอบที่สุดคือกาแฟนั้น มักเป็นคนที่มีความคาดหวังในชีวิตสูงมาก เมื่อตั้งความหวังอะไรไว้ ก็จะพยายามไปถึงสิ่งที่หวังนั้นให้ได้อย่างใจเย็น และรู้จักการรอคอย ทั้งยังเป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อเรื่องความมั่นคง ทางเศรษฐกิจมาก นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ยึดถือในเหตุผลและหลักการ ชอบความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ไม่ใช่คนที่ซับซ้อนอะไรเลยหากเป็นคนจริงจังและตรงไปตรงมามาก ชอบคิดอะไรง่าย ๆ แต่ไม่ค่อยมีรายละเอียดในชีวิตนัก : )
ชอบดื่มน้ำชา คนที่ชอบดื่มเครื่องดื่มจำพวกชาต่าง ๆ นั้นมักเป็นคนที่มีความละเมียดละไมในการใช้ชีวิตมาก มีความนุ่มนวลอ่อนโยนและชอบเอาอกเอาใจคนรอบข้าง คนที่อยู่ใกล้ชิดมักรู้สึกถึงความสงบอบอุ่นและผ่อนคลาย ทั้งยังสามารถเข้าได้กับคนทุกกลุ่มและมีเสน่ห์ต่อทุกคน นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ปรับตัวได้เก่ง ช่างประนีประนอมและไม่ชอบความขัดแย้งใด ๆ ทั้งสิ้นแถมยังเป็นคนที่มักลังเลในการตัดสินใจเสมอ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และยุติธรรมมาก : )
ชอบดื่มไวน์ สำหรับคนที่ชอบดื่มไวน์นั้น มักเป็นคนที่มีรายละเอียดและกฎเกณฑ์ในชีวิตเสมอ ทั้งยังเป็นคนที่ยึดมั่น ต่อธรรมเนียมประเพณีมาก ๆ อีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่รู้จักกาลเทศะ และสามารถเข้าสังคมได้ดี นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความเชื่อในเรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ เป็นอย่างสูง และค่อนข้างจะเป็นพวกอนุรักษ์นิยม จึงมักจะมีปัญหากับคนที่ชอบทำตัวอิสระเกินขอบเขตเสมอ : )
ชอบดื่มเหล้า สำหรับที่ชอบดื่มเหล้าเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นบรั่นดี วิสกี้ หรือเหล้าใด ๆ ก็ตามนั้น มักเป็นคนที่รักความสนุกสนาน ชอบแสวงหาความบันเทิงให้ชีวิตอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังเป็นคนที่ใจกว้างทำให้เป็นที่รู้จักของคนมากหน้าหลายตา และมักจะสนใจในเรื่องที่มีความสำคัญมากๆ เท่านั้นแต่กับเรื่องเล็กๆใกล้ตัวกลับกลายเป็นคนที่ไร้ความรับผิดชอบได้อย่างน่าแปลกใจ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวเองมาก เช่นบุคลิกอาจดูเข้มแข็ง แต่จริงๆแล้วจิตใจอ่อนแอยิ่งนัก : )
ชอบดื่มเบียร์ ส่วนคนที่ชอบดื่มเบียร์มากที่สุดในบรรดาเครื่องดื่มทั้งหลายนั้น มักเป็นคนที่มีชีวิตชีวา และมีจิตใจที่ฮึกเหิมกล้าหาญมาก และรักการผจญภัยเป็นที่สุด ทั้งยังเป็นคนใจร้อนใจเร็วไปเสียทุกเรื่อง โดยไม่สนใจสถานการณ์ใด ๆ ทั้งสิ้น และยังไม่ใช่คนรอบคอบที่รู้จักคิดอะไรโดยมีการไตร่ตรองนัก มักเปลี่ยนใจง่ายแต่ในขณะเดียวกันก็มีความเป็นตัวของตัวเองมาก ให้ทนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบจะทนไม่ได้เลย มีความเป็นอิสระสูงและชอบการแสดงออก : )
ดื่มได้ทุกอย่าง ส่วนคนที่ไม่ได้ชอบเครื่องดื่มชนิดใดมากมายเป็นพิเศษแต่สามารถดื่มได้ทุกชนิดตามแต่จะมีมาให้ดื่ม มักเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน และมีความรู้สึกที่อ่อนไหว เปราะบาง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่เข้ากับคนอื่นได้ง่าย รับรู้และเข้าอกเข้าใจในความทุกข์ความเศร้าของคนอื่นได้อย่างลึกซึ้ง แต่จะเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ชอบการเผชิญหน้า และมักหลีกเลี่ยงสิ่งซึ่งนำมาซึ่งความโศกเศร้าทุกอย่าง นอกจากนี้ยังเป็นคนที่หลงใหลอะไรได้ง่าย มักจะสับสนกับความต้องการของตัวเองอยู่เสมอ : )
สาเหตุที่ทำให้รักพังทลาย
1.ชอบทำตัวเป็นนักขุด อย่าทำตัวเป็นนักขุด อ๋อ...ก็ขุดคุ้ยแต่เรื่องเก่าๆของแฟนเก่าคุณยังไงหล่ะ เพราะจะทำให้แฟนคนปัจจุบันของคุณเกิดความไม่มั่นใจในตัวคุณ ในเมื่อคุณรักเขาแล้ว ก็ควรจะมีเขาคนเดียวในหัวใจ อย่าให้ปากของคุณ สร้างให้เกิดรอยร้าวในหัวใจฝ่ายตรงข้ามเลยนะจ๊ะ
2.ไม่ชอบรับฟังคนอื่น ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือรับฟังเรื่องราวของเขาบ้าง ไม่ใช่ให้เขาเป็นฝ่ายรับรู้ และรับฟังแต่เรื่องของคุณอย่างเดียว อย่างนั้นมันไม่แฟร์
3.ชอบทำตัวเป็นเงาตามติดแจ คุณควรแบ่งเวลาให้เขาอยู่กับสังคมและเพื่อนของเขาบ้าง ไม่ใช่มาคอยอยู่กับคุณ ตลอด 24 ชม. ขนาดคุณเองยังอยากมีเวลาส่วนตัว หรือมีเวลาให้กับเพื่อนคุณบ้าง(แค่เอาใจเขามาใส่ใจเราเท่านั้นเอง)
4.ชอบออกคำสั่ง มีแฟนนะจ๊ะ ไม่ใช่มีลูกน้อง เพราะฉะนั้นอย่าออกคำสั่งให้แฟนของคุณ ทำโน่นสิ ทำนั่นสิ อันนี้ดี ทำนะ หรือว่าอย่างนั้นไม่ดี … อย่าทำ (ก็ยอมๆ เขาบ้างบางครั้ง ไม่ตายหรอกเน๊อะ)
5.ยิ่งกว่ากรรไกร อย่าทำตัวเป็นกรรไกร คอยตัดหรือฉีกหน้าแฟนคุณต่อหน้าคนอื่น ไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น โดยเฉพาะห้ามเอาปมด้อยของเขามาล้อเล่นอย่างสนุกสนานต่อหน้าคนอื่น แม้กระทั่งกับเพื่อนสนิทกันก็ตาม (ไม่มีใคร เขาชอบหรอกนะ)
6.ชอบซ้ำเติมข้อผิดพลาด อดีตคืออดีตให้มันผ่านแล้วผ่านไปเถอะ ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเอาเรื่องที่เขาผิดพลาดในอดีตขึ้นมาตอกย้ำอีก ก็จะทำให้ยิ่งทะเลาะกันเข้าไปใหญ่ จะทำให้ยิ่งเพิ่มความแตกร้าวมากขึ้น
7.พกแฟนไปทุกสถานที่ อย่าคิดว่าเขาจะชอบทุกๆสถานที่ที่คุณพาไป นั่นเป็นความคิดที่ผิด บางงานเขาก็อาจไม่อยากจะไปก็ได้ หรือไม่ ถ้าคุณมีเพื่อนไปด้วยแล้ว ละวางเขาบ้างก็ได้ ไม่ต้องทำตัว เป็นปาท่องโก๋ตลอดเวลา
8.ขี้หึงสุด..สุด หึ่ง หึ่ง หึ่ง ไม่ใช่เสียงผึ้งหรอกนะคะ แต่เป็นอาการหึง ลมออกหูของคุณต่างหาก แฟนคุณเค้าจะมีเพื่อนที่เป็นผู้หญิงเพศเดียวกับคุณบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร ทีคุณยังมีเพื่อนผู้ชายตั้งเยอะ การคบกันก็ต้องมีความไว้ใจซึ่งกันและกัน ความรักถึงจะยืนยาว
9.ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ลองหันหน้ามาปรึกษาแฟนคุณบ้าง เวลาที่คุณต้องทำนัดหมาย ยอมให้เขามีส่วนร่วมและรับรู้ในเรื่องต่างๆบ้าง อย่าลืมนะ ว่าสมัยนี้มันประชาธิปไตยแล้วจ๊ะ การที่คุณตัดสินใจตลอดเวลาด้วยตัวเองมันเหมือนกับเป็นการบังคับเขาทางอ้อมนะ
10.จุกจิก จู้จี้ อย่าทำตัวเป็นคนแก่ ไม่เอา... ไม่เอานะ ในช่วงคบกันแรกๆเขาอาจจะทนได้ แต่พอนานวันเข้า อันนี้ไม่รับประกัน เพราะความอดทนอาจจะหมดไป เหลือไว้แต่ความรำคาญใจก็ได้นะเออ
11.เป็นคนช่างตำหนิ อย่าคิดว่าความคิดหรือข้อเสนอของเขาเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่น่าฟัง ไม่เข้าท่า ไม่มีใครทนได้ หรอกนะ ที่จะมีคนมาคอยตำหนิติเตียนอยู่ตลอดเวลา
12.พูดชม หรือให้กำลังใจ ใครไม่เป็น ไม่เค๊ย ... ไม่เคยที่จะเอ่ยปากชมแฟนของคุณ เวลาที่เขาทำดีให้คุณ อย่างนี้ต้องหัดแล้วนะ ควรทำบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เว่อร์ จนเค้าคิดว่าคุณประชด หล่ะ
13.คำขอโทษไม่เคยหลุด ออกจากปาก I'm so sorry หัดกล่าวคำขอโทษซะบ้าง เวลาที่คุณทำผิด การยอมรับความผิดแต่โดยดี จะให้เขารู้สึกว่าคุณมีความรับผิดชอบและทำให้เขาไว้วางใจ
14.ไม่ชอบรับฟังคนอื่น ยอมรับฟังความคิดเห็น หรือรับฟังเรื่องราวของเขาบ้าง ไม่ใช่ให้เขาเป็นฝ่ายรับรู้และรับฟัง แต่เรื่องของคุณอย่างเดียว อย่างนั้น มันไม่แฟร์
15.ขี้งอน ส่วนมากเวลาผู้หญิงโกรธ มักจะทำหมางเมิน ไม่พูดไม่จา ที่เคยพูดน้ำไหลไฟดับจนลิงหลับ ก็เงียบสนิท แบบนี้ไม่ work คุณควรจะบอกว่า โกรธเขาเรื่องอะไร จะได้ปรับความเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น และเขาก็จะได้ง้อคุณให้ถูกวิธี ยังไงหล่ะ
16.ขี้บ่น บ่น บ่น บ่น บ่นเช้า กลางวัน เย็น ไม่รวมไปถึงเวลาอาหารว่าง คิดดูแล้วกันว่า ถ้ามีคนขี้บ่นอยู่ใกล้ ๆคุณ คุณจะรำคาญขนาดไหน แล้วอย่างนี้ถ้าคุณขี้บ่น แฟนคุณจะรู้สึกอย่างไร
17.ซ๊กม๊ก เป็นที่หนึ่ง (ซ๊กม๊ก แปลว่า สกปรก) การเป็นผู้หญิง สำคัญที่สุดคือเรื่องของความสะอาด ไม่มีผู้ชายคนไหน ยอมทนคบผู้หญิงที่ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย สกปรก วางของระเกะระกะไม่เป็นที่เป็นทาง เพราะผู้ชายส่วนมากมักวาดฝันว่า แฟนของตัวเองอย่างน้อยต้องมีความเป็นกุลสตรีบ้างซัก 10 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังดี
18.โกหกเป็นไฟ อย่าหัดเป็นคนโกหก เพราะมันจะติดเป็นนิสัย มีอะไรก็พูดตรงๆ แต่ไม่ใช่แบบขวานผ่าซากหรือแบบมะนาวไม่มีน้ำ
19.ชอบทำตัวเป็นแม่ ฮั่นแน่ นี่แฟนนะ ไม่ใช่แม่ เพราะฉะนั้นอย่าริทำตัวเป็นคุณแม่คนที่สอง หรือผู้ปกครองคนที่สองของแฟนคุณเด็ดขาด อย่าไปคอยบงการชีวิตของเขา สั่งสอนเขา เหมือนเขาเป็นลูกคุณ ทำแบบนี้จะเพิ่มความกดดันให้เขาต่อต้านคุณ ไม่ยอมคุณ ถึงแม้ว่าบางสิ่งที่คุณพูดอาจจะถูกก็ตาม
20.เป็นคนไม่หวาน … เอาซะเลย คุณลืมความหวานชื่นในอดีตไปแล้ว ว้า...อย่างนี้รักของคุณก็ขาดน้ำตาล หรือความหวานนะสิ คุณน่าจะลองรำลึกถึงอดีตหวานๆ กับแฟนบ้าง เพราะมันจะทำให้ความรักของคุณคงอยู่ แบบไม่จืดจาง
เกร็ดเล็กๆของเศษเหล็ก
อ่านจากฟอร์เวิร์ดเมลเนื้อหาดี
>เรื่องอ่านยาว ๆ แต่ดี ((อีกแล้ว)) อ่านไว้เตือนใจตัวเอง
>คัดลอกมาจากบอร์ดแห่งนึง ลองอ่านกันดู
>วันนี้ตื่นเช้าหน่อยทั้งที่เมื่อคืนก็นอนดึก
>แต่ว่ามีงานหลายอย่างรออยู่ เลยต้องรีบตื่น
> ทำงานแต่เช้า ข้าวเช้าไม่ได้ทาน กว่าจะนึกขึ้นได้ก็เที่ยง
>เลยไปทานรวบยอด ข้าวหน้าเป็ด1จานกับบะหมี่แห้งอีก1ชาม
>คงอยู่ได้ถึงเย็น
>แล้วก็กลับมานั่งทำงานต่อ ไม่ได้ออกไปข้างนอก
>งานกว่าจะเสร็จก็ราวบ่าย2
>เลยไปนั่งคุยกับเพื่อนอยู่พักหนึ่ง คุยเรื่อยเปื่อย
>ไม่มีสาระอะไรสำคัญเท่าไหร่
>พอบ่าย 4 ก็ต้องออกไปเอาของ เห็นว่าไม่ไกลเท่าไหร่
>แล้วที่ๆจะไปรถก็ติด เลยขับมอเตอร์ไซค์ไป ก็ดี ใช้มอเตอร์ไซค์
>ค่าใช้จ่ายน้อยดี ขับไปเรื่อยๆจนรถมาติดไฟแดงที่แยกหนึ่ง
>คนขับมอเตอร์ไซค์อีกคัน มากับแฟนเขามาติดไฟแดงเหมือนกัน
>ดูข้าวของพะรุงพะรัง แล้วยังอุ้มลูกหมาอีก
> ผมก็ดูเขา เห็นหมาน่ารักดี มันเห็นผมมอง ก็เห่าตามประสาหมา
>เจ้าของที่เป็นผู้หญิงเลยมองหน้าผมยิ้มๆ พอไฟเขียวเขาก็ขับรถออกไป
>เขาขับเร็วกว่าผม แต่ผมขับไปเรื่อยๆ ยังคงเห็นเขาอยู่ไกลๆ อยู่
>แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่ง
>วิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถตู้คันที่ออกจากไฟแดงไปก่อนหน้า
>รถตู้เบรกเต็มที่จนรถปัด มอเตอร์ไซค์ผู้หญิงกับผู้ชายคนนั้น
>คงหันมาคุยกัน
>เพราะผมไม่เห็นไฟเบรกเขา จึงชนท้ายรถตู้เข้าไปอย่างแรง จนรถกระเด็น
>ผมรีบเร่งเครื่องตามไป พอไปถึงผู้ชายคนขับสลบไปเลย
>มีเลือดออกจากปากและจมูกมาเป็นลิ่มๆเยอะมาก ส่วนผู้หญิงก็สลบหัวแตก
>เพราะกระเด็นไปชนท้ายรถตู้ส่วนที่เป็นกระจก
>เขาทั้งคู่ไม่ได้ใส่หมวกกันน๊อก
>คนมามุงเยอะมาก ผมดูตามร่างกาย ทั้งคู่ท่าทางจะอาการหนักแน่
>เพราะเขาชนไปโดยที่แทบไม่ได้เบรกเลย
>ส่วนหมาตัวนั้นกลับไม่เป็นอะไรเท่าไหร่
>เพราะมันกระเด็นแล้วกลิ้งออกไป
>ผมจอดรถแล้วเดินลงมา มีคนพยายามจะอุ้มเขาไปที่ฟุตบาท
>ผมรีบห้ามทุกคนแตะต้องคนเจ็บ
>เพราะหลายครั้งที่คนเจ็บจะอาการหนักมาจาก
>คนที่ไม่มีความรู้ไปเคลื่อนย้ายเขา
>ผมเอามือถือออกมาโทร ผมไม่ทราบว่าตรงนั้นท้องที่ไหน
>เลยโทรไปที่191
>แล้วให้เขาช่วยแจ้งให้ ตอนโทรไปผมต้องบอกกับตำรวจว่าอาจจะเสียชีวิต
>ทั้งๆที่ผมเห็นเขาหายใจอยู่ ผมไม่ได้แช่งเขา แต่การที่ผมทำแบบนี้
>จะทำให้พวกตำรวจและรถมูลนิธิมาเร็วขึ้น
>คนมามุงเยอะมาก ผมต้องคอยห้ามทุกคนอย่าไป
>อุ้มคนเจ็บอยู่ตลอดเวลา หมาตัวนั้นท่าทางตกใจมาก
>วิ่งเข้าไปดมเจ้าของมันทั้งคนที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงสลับกัน
>มันมองหน้าผมเหมือนจะไม่เข้าใจ
>ทั้ง 2 คน ผมคะเนอายุแล้วคงประมาณ 30 กว่า
>ผมเริ่มเก็บของที่ตกกระจายอยู่ที่พื้นกระจัดกระจายให้เขา
>ข้าวของเขาเยอะจริงๆ รถเริ่มติดมาก ส่วนใหญ่จะชะลอดู
>คนแถวนั้นมาช่วยไล่รถเพื่อไม่ให้รถติด
>ระหว่างที่ผมเดินไปเก็บของ ผมคิดอะไรไปด้วย
>ชุดนักเรียนอนุบาลเด็กผู้หญิงอยู่ในถุง เขาคงมีลูก อายุ4-5ขวบ
>ลูกเขาอยู่กับใครตอนนี้ คงรออยู่ที่บ้าน รอพ่อกับแม่กลับมา
>เปิดเทอมแล้วเขาคงซื้อเพิ่มให้ลูก
>ไข่ เขาซื้อมาจากตลาดราว 20 ใบ แตกหมดเลอะถนน
>เขาคงซื้อไปทำกับข้าวให้ลูกเขา
>เย็นนี้ลูกเขาคงไม่ได้ทานกับข้าวที่แม่เขาทำแล้ว
>นมผงกล่องสำหรับเด็ก1ขวบ ตราหมีรสน้ำผึ้ง
>เขามีลูกอีกคนคงราวขวบเดียว>คนนี้คงยังไม่รู้เรื่อง อาจจะเพิ่งหัดเดิน เด็กวัยนี้กำลังน่ารัก
>หัดพูดพ่อจ๋าแม่จ๋า
>เหมือนกับลูกของคนข้างบ้านที่ผมไปอุ้มเล่นบ่อยๆ
>ปืนเด็กเล่นแบบยิงแล้วมีเสียง
>เขาคงซื้อไปให้ลูกเขาเล่นท่าทางเขาเป็นคนรักลูก
>ตามประสาพ่อแม่ที่เห็นของเล่นก็จะซื้อให้ลูก
>แต่ปืนเด็กเล่นอันนี้ถูกรถทับแตกแล้ว ลูกเขาคงไม่ได้เล่นแล้ว
>สายจูงหมา อยู่ในถุง เขาคงจูงหมาไปเดินเล่นบ่อยๆ พรุ่งนี้ใครจะจูง
>เจ้าของหมานอนสลบอาการหนักอยู่ต่อหน้าผม
>รองเท้าเด็กแบบมีเสียงเวลาเดิน คงของลูกคนเล็กเขา
>เทปเพลง 2 ม้วน ถูกรถทับแตก
>ตุ๊กตาหมี อยู่ในถุง คงซื้อให้ลุกคนโต ไม่ถูกรถทับ
>เขาคงให้ลูกเขากอดเล่นเวลาที่กล่อมลูกให้หลับ
>ยาแก้ไอของเด็ก ลูกเขาคงเป็นหวัดอยู่เพราะช่วงนี้อากาศหนาว
>หนังสือคู่สร้างคู่สม คงของผู้หญิง
>เพราะผู้หญิงชอบอ่านหนังสือพวกนี้ แต่ผมเองก็ชอบ
>อาหารปลาอย่างถุง ที่บ้านเขาคงเลี้ยงปลาตู้ไว้ดูเล่น
>ข้าวของอย่างอื่น กระจัดกระจาย เต็มไปหมด ผมตามเก็บให้เขา
>ผมมาดูอาการเขาอีกที เขายังหายใจอยู่ ผมวางของที่ข้างๆตัวเขา
>มีเพจเจอร์หล่นอยู่ที่ข้างตัวเขา มันดังขึ้น ผมเอามากดอ่าน
>คนที่เรียกมามีข้อความว่า
>พรุ่งนี้ให้ไปเอาเอกสารที่สุขุมวิทก่อนเข้าออฟฟิศ
>เขาคงทำงานเป็นแมสเซ็นเจอร์ที่ไหนซักแห่ง
>ข้อความก่อนหน้านี้ เรียกมาว่า วันนี้กลับบ้านแล้วมารับด้วย
>จะพาเจ้าจูลี่ไปฉีดวัคซีนด้วย ผมมองไปที่หมาของเขา ลองเรียกมันว่า จูลี่
>มันกระดิกหางเดินเข้ามาเอา 2 ขาหน้ามาเกาะที่ขาผม
>มิน่าเขาไปตลาดถึงได้พาหมาไปด้วย เขาพาหมาไปฉีดวัคซีน
>แล้วตำรวจก็มาถึง ผมเอาของทุกอย่างให้ตำรวจแล้วบอกว่าของเขา
>รวมทั้งหมาตัวนั้นด้วย
>มันยังคงไปดมที่ปากเจ้านายมัน จนจมูกมันเลอะไปด้วย
>ผมมองเขาทั้ง 2 คนอีกครั้ง นึกในใจขออย่าให้เป็นอะไรมาก
>แล้วผมก็ไปธุระต่อ
>ผมขับรถไปก็คิดไปหลายอย่าง ขากลับราว 5 โมง ผมเสร็จงานแล้ว
>ผมขับรถมาจอดที่ใต้สะพานพุทธ เพราะยังไม่อยากกลับบ้าน ยังคงคิดถึง
>เรื่องราวเมื่อสักครู่ บนสะพานมีคนตกปลา
>ในแม่น้ำเรือบางลำก็แล่นทวนน้ำ
>บางลำก็แล่นตามน้ำ แต่สายน้ำยังคงไหลไปในทิศทางเดิม
>เคยมีคนกล่าวไว้ว่า the river of no return
>มันหมายถึงสายน้ำไม่ไหลกลับ
>เหมือนสายน้ำที่ไหลอยู่ต่อหน้าผมตอนนี้
>ถ้าเมื่อครู่เขาเบรกทัน ตอนนี้เขาทั้งคู่คงทำกับข้าว เล่นกับลูก
>จูงหมาเดินเล่น ให้อาหารปลา
>แต่ตอนนี้ล่ะ เขาทั้งคู่ ลูกเขาทั้ง 2 คน หมา ปลาในตู้ กำลังทำอะไร
>และคิดอะไรอยู่
>ชีวิตคนเราบางครั้งแค่เสี้ยววินาทีไม่ใช่แค่เปลี่ยนชีวิตของคนๆเดียว
>แต่กลับเปลี่ยนได้หลายชีวิตที่อยู่รอบข้างให้เกิดความเศร้าได้
>การพลาดอะไรบางครั้งในชีวิต
>ก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรให้กลับมาดีได้เหมือนเดิม
>เหมือนกับสายน้ำที่ไม่มีวันไหลกลับ
>จริงอยู่ที่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
>แต่ในบางครั้งก็สามารถแก้ไขและหลีกเลี่ยงได้
>ฉะนั้นจงใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาทและจำไว้ว่า "สายน้ำจะไม่มีวันไหลย้อนกลับ"
เรื่องอ่านแล้วซึ้งกินใจ
เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันได้รับพัสดุไปรษณีย์ที่ส่งมาจากเพื่อนคนหนึ่ง...เพื่อนที่ฉันทำเค้าหล่นหายไปกับกาลเวลานานพอดู เกือบปีที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลย
ครั้งสุดท้ายฉันรู้จากเพื่อนอีกคนเพียงว่าเค้าป่วยและลาออกจากงาน แล้วพาตัวเองหนีความวุ่นวายของสังคมเมืองกลับไปช่วยกิจการของที่บ้าน..ที่เกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดตราด ฉันแกะกล่องพัสดุ แล้วฉันก็ได้พบ Diary สีน้ำเงินเล่มหนา ที่ดูเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก พร้อมกับข้อความที่เขียนด้วยปากกาเส้นเล็กๆว่า สำหรับความรู้สึกที่ดีของความเป็นเพื่อน .. พร้อมกับลายเซ็นของตัวเอง นี่มัน Diary ของฉันที่เคยเขียนไปได้เพียงครึ่งหน้าและได้ให้กับเพื่อนคนนี้ไปในวันหนึ่งที่ฉันได้รู้เรื่องราวไม่สบายใจของเขา และพบว่า ที่เขาเล่าให้ฉันฟังมันไม่ใช่ความทุกข์ที่เขาอยากจะระบายออกมาทั้งหมด ฉันเลยแนะนำให้เขาเขียนในสิ่งที่เขาอยากอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้และให้บรรยายมันลงใน Diary ของฉันเล่มนี้ แล้วบอกเขาด้วยว่า ถ้าวันหนึ่งเขาไว้ใจเพื่อนอย่างฉัน เขาคงเล่าความทุกข์ของเขาทั้งหมดให้ฉันได้รับรู้..ฉันพลิกดู Diary สีน้ำเงินเล่มนี้อย่างคร่าวๆ..จากหน้าแรกจนหน้าสุดท้าย...
ไม่น่าเชื่อเพื่อนของฉันคนนี้เขียนมาจนหมดทุกหน้า...
ไม่บ่อยครั้งนักที่ฉันจะได้เห็นผู้ชายมานั่งเขียนอะไรมากมายอย่างนี้...และในหน้าสุดท้ายฉันก็ได้พบรูปของตัวเองที่ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นที่คั่นหนังสือ..กับข้อความหลังภาพที่ว่า .. "หากเธอมองฉันผ่านมิตรภาพของความเป็นเพื่อน ฉันก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อน" ฉันพลิกกลับมาที่หน้าแรก..และเริ่มตั้งต้นอ่านอย่างตั้งใจ..จากหนึ่งเป็น สอง สาม สี่ และตามลำดับเรื่อยมา ฉันได้พบชื่อตัวเองบ่อยครั้งใน Diary เล่มนี้เหมือนเป็นการเล่าสู่กันฟังของเพื่อนกับเพื่อน
เรื่องราวที่ฉันได้รับรู้จาก Diary หลายต่อหลายครั้งที่ทำเอาฉันนั่งน้ำตาซึม...ไม่น่าเชื่อนะผู้ชายแข็งๆกระด้างๆที่มักจะทำให้คนอื่นได้ยิ้มได้หัวเราะอยู่ตลอดเวลาจะเก็บเอาอะไรมาคิดได้มากมายอย่างนี้...ฉันอ่านมันหน้าแล้วหน้าเล่า
แล้วฉันก็พบว่า เพื่อนที่ฉันคิดว่าฉันรู้จักเขามากพอ..มาวันนี้ฉันกลับรู้สึกว่าฉันไม่ได้รู้จักในตัวตนของเขาเท่าไหร่เลย..ฉันสัมผัสเค้าได้แค่เพียงเปลือกนอกที่เค้าแสดงออกมาให้คนอื่นได้รับรู้เพียงแค่นั้น
มีบางแง่มุมที่ไม่เคยรู้..ฉันก็ได้รู้ บางเรื่องที่ฉันลืมไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ..ก็กลับมาอยู่ในความทรงจำอีกครั้ง ฉันได้อ่าน Diary สีน้ำเงิน เล่มนี้ได้มากพอดู ถึงได้รู้ว่า..สาเหตุที่เธอกลับมาอยู่ที่เกาะ มาช่วยกิจการที่บ้าน.เพราะอาการป่วยของเธอนั่นเอง...
หมอบอกเธอว่าโรคมะเร็งที่เธอเป็นอยู่ จะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก..เธอไม่กล้าที่จะบอกเรื่องนี้กับแม่ ซึ่งทำงานหนักมาทั้งชีวิต โดยที่ทั้งแม่และเธอไม่เคยได้รับการใส่ใจดูแลจากผู้เป็นพ่อเลย...เธอกลัวแม่ของเธอรับไม่ได้..เธอไม่เคยบอกใครถึงสิ่งที่เธอเป็นอยู่...ทางบ้านรับรู้เพียงว่าเธอสุขภาพไม่ดี...
ฉันนั่งนึกถึงแม่ของเธอที่เคยเจอะเจอเมื่อปีก่อน..ผู้หญิงที่ดูเข้มแข็ง..แกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ
แม่เธอบอกเสมอว่า ที่ท่านอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเธอ..เธอเป็นกำลังใจในการต่อสู้และการดำเนินไปของชีวิต...
แม่เธอจะรับได้ไหม ถ้าวันหนึ่งรู้ว่า.กำลังใจของแม่กำลังจะจากไป...
ฉันรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เธอได้รับจากอาการข้างเคียงของโรคผ่านตัวหนังสือ
ใน Diary สีน้ำเงิน เธอเขียนไว้ว่า หลายต่อหลายครั้งที่เธอร้องไห้และคิดถึงเพื่อนอย่างฉัน ยิ่งช่วงท้ายๆของ Diary ฉันได้เห็นชื่อของฉันบ่อยครั้งขึ้น...บ่อยมากจนรู้สึกว่าเวลานั้นเธอคงอยากให้ฉันอยู่ใกล้ๆเธอจริงๆ
แต่เธอไม่เคยโกรธ ที่ฉันห่างหายมาอย่างนี้ เธอบอกว่าเธอรู้ข่าวคราวและความเป็นไปของฉันตลอดจากเพื่อนอีกคน
เธอรู้ว่าฉันเองก็มีเรื่องทุกข์ใจที่ต้องเผชิญอยู่เช่นกัน เธอจึงไม่เคยเรียกร้องจะให้ฉันไปอยู่ข้างเธอ ยามนี้ฉันอ่าน diary สีน้ำเงินเล่มนี้จนจบ..ข้อความท้ายๆของ Diary คล้ายจะเป็นการสั่งเสีย..เหมือนเธอรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ
แต่เธอกำลังต้องการเพื่อนสักคนในเวลานี้และคนๆนั้นก็คือฉัน..
หากเธอมองฉันผ่านมิตรภาพของความเป็นเพื่อน ฉันก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อน
แล้วฉันก็พบข้อความนี้อีกครั้ง...มันเป็นข้อความสุดท้ายใน Diary สีน้ำเงิน เล่มนี้..ฉันอ่านมันจนจบ พร้อมกับปิดมันลงด้วยความรู้สึกผิด...
นานแค่ไหนแล้วที่ฉันทำเพื่อนคนหนึ่งหายไปกับกาลเวลา
นี่ฉันเป็นเพื่อนชนิดไหนกันนี่ ยามที่เธอต้องการฉัน ฉันกลับห่างหายมาอย่างนี้
ฉันขอโทษ..ขอโทษจริงๆและสัญญา..พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีที่ดีของเธอเหมือนก่อน
กลับไปอยู่ข้างๆเธอ..ยามที่เธอต้องการเพื่อนสักคน..แล้วพรุ่งนี้ฉันจะรีบไปหาเธอแต่เช้า..
กลับไปทำหน้าที่ของเพื่อนที่พึงทำให้เพื่อน..ฉันสัญญา... เธอคงกำลังรอฉันอยู่...
วันนี้ฉันมาพบเธอที่บ้าน..แต่สิ่งที่ฉันพบ..คือร่างของเธอที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า...พบแม่ของเธอที่กำลังร้องไห้อยู่แทบขาดใจ แม่โผเข้ากอดฉันเหมือนกำลังจะบอกว่าเธอไปแล้ว..เธอจากไปแล้ว...
ฉันมาช้า...มาช้าไปจริงๆ ฉันมาไม่ทันลมหายใจสุดท้ายของเธอด้วยซ้ำ..
แม่เล่าให้ฉันฟัง หลังจากงานศพของเธอผ่านไป..
แม่เล่าว่าเธอ มักจะพูดคุยเธอมักจะพูดคุยเรื่องราวของฉันให้แม่เธอได้รับรู้เสมอ..
เมื่อไหร่ที่เธอได้รับรู้ว่าฉันกำลังทุกข์ก็ดูเหมือนเธอกำลังทุกไปกับฉันด้วย
แม่เคยบอกให้เธอมาหาฉัน แต่เธอปฏิเสธ เพราะเธอไม่อยากให้ฉันเห็นเธอในสภาพก่อนที่เธอจะจากไป
เธอกลัวฉันจะเป็นห่วงเป็นกังวลไปกับเรื่องของเธอ แม่เธอบอกว่าเธอเป็นห่วงฉันมาก
แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต..เธอยังบอกกับแม่เธอว่า.. ถ้าฉันมาที่บ้านแสดงว่าฉันคงไม่ค่อยสบายใจ..รู้สึกแย่กับชีวิต..ฉันถึงพาตัวเองมาหาทะเล..มาหาเพื่อนอย่างเธอ...เธอฝากให้แม่ดูแลฉันแทนเธอด้วย..
น้ำตาของฉันยังคงอาบแก้ม..ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับทุกๆความห่วงใยที่มีให้กันเสมอ กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ..
ทะเลหน้าบ้านเธอที่ฉันเคยบอกว่าเป็นทะเลที่สวยที่สุด..วันนี้มันดูเศร้าไปถนัดตา...
หลับให้สบายเถอะเพื่อน ฉันจะไม่มีวันลืมเพื่อนอย่างเธอไปได้เลย.. ฉันสัญญา ..
วันนี้ฉันนั่งสำรวจตัวเองอีกครั้งพร้อมกับถามตัวเองว่า .. ฉันทำใครหล่นหายไปกับกาลเวลาอีกไหม...แล้วถ้าฉันพบว่ามี..ฉันจะรีบกลับไปทวงถามให้เค้ากลับมาด้วยความรู้สึกดีๆ...และจะพยายามอย่างที่สุดที่จะรักษาเค้าไว้กับฉันตลอดไป..
อ่านจบแล้ว..อย่านะ..อย่าแอบร้องไห้คนเดียว..
"อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา
เหมือนมีเกลือนิดหน่อยด้อยราคา ดีกว่าค่าน้ำเค็มเต็มทะเล"
ลองทบทวนดูว่าคุณลืมสิ่งใดไปบ้าง....ระหว่างมิตรภาพของคำว่า " เพื่อน "
บทเรียนสำคัญ ในชีวิต
เมื่อครั้งที่ฉันเข้าเรียนในวิทยาลัยได้สองเดือนอาจารย์ให้พวกเราทำแบบทดสอบอันหนึ่งฉันเป็นนักเรียนที่ตั้งใจเรียน จึงตอบคำถามได้อย่างสบายจนมาถึงคำถามสุดท้าย.. "สุภาพสตรีที่เป็นคนทำความสะอาดโรงเรียนชื่อว่าอะไร ?"ต้องเป็นเรื่องตลกอะไรสักอย่างแน่
ฉันเคยเจอคนทำความสะอาดหลายครั้งเธอเป็นคนตัวสูง ผมดำ และอายุกว่า 50แต่ฉันจะรู้ชื่อเธอได้อย่างไร ?ฉันส่งกระดาษคำตอบ โดยไม่ได้ตอบข้อสุดท้าย
ก่อนหมดคาบเรียน นักศึกษาคนหนึ่งถามว่าคำถามข้อสุดท้ายจะถูกคิดรวมในคะแนนของผลการเรียนด้วยหรือไม่"แน่นอน" อาจารย์ตอบ
"เพราะเมื่อเธอเข้าทำงาน เธอจะต้องพบกับคนมากมายซึ่งทุกคนมีความสำคัญพอที่สมควรจะได้รับความสนใจและเอาใจใส่แม้ว่าพวกเธอจะทำได้แค่เพียงยิ้มให้และกล่าวสวัสดีก็ตาม"
2. บทเรียนสำคัญที่สอง - รับคนกลางฝน
คืนหนึ่ง เวลา 23:30 น. สตรีสูงอายุเชื้อสายแอฟริกันคนหนึ่งยืนอยู่ริมทางหลวงสายบามา ต้านฝนที่ตกหนักอยู่
รถของเธอเสีย และเธอต้องการเดินทางต่อไปอย่างมากแม้จะเปียกโชกเธอตัดสินใจโบกรถคันที่วิ่งผ่านมา ชายหนุ่มผิวขาวผู้หนึ่งหยุดรถเพื่อช่วยเหลือเธอซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ในยุคที่มีความขัดแย้ง เรื่องการเหยียดผิวอย่างทศวรรษที่60
ชายหนุ่มช่วยเหลือให้เธอได้รับความปลอดภัยและส่งเธอขึ้นรถแท็กซี่แม้ว่าเธอจะเร่งรีบมาก แต่ก็ขอบคุณเขา และจดที่อยู่ของเขาไปด้วย
เจ็ดวันหลังจากนั้นก็มีชายคนหนึ่งมาเคาะประตูบ้านของเขาด้วยความประหลาดใจโทรทัศน์สีจอยักษ์เครื่องหนึ่งถูกนำมาส่งยังบ้านของเขาและมีข้อความแนบ มาด้วย
ใจความว่า:
"ขอบพระคุณมากสำหรับความช่วยเหลือบนทางหลวงในคืนนั้นฝนไม่ได้ชะแต่เพียงเสื้อผ้าของฉันเท่านั้น แต่ชะเอากำลังใจของฉันไปด้วยแต่เมื่อคุณผ่านมา เป็นเพราะคุณ
ฉันจึงสามารถไปทันดูใจสามีที่ กำลังจะเสียชีวิต ทันเวลาก่อนที่เขาจะสิ้นลมพอดีขอพระเจ้าอวยพรคุณ สำหรับการช่วยฉัน และการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวของคุณ"
ด้วยความจริงใจนางแนท คิง โคล
3. บทเรียนสำคัญที่สาม – ระลึกถึงคนที่ให้บริการเสมอ
ในสมัยที่ไอศกรีมซันเดยังมีราคาถูกอยู่มากเด็กชายอายุสิบขวบคนหนึ่งเข้าไปในคอฟฟี่ชอปของโรงแรมแห่งหนึ่งแล้วนั่งที่โต๊ะ
เมื่อพนักงานเสิร์ฟวางแก้วนั้นลงตรงหน้าเด็กชายก็ถามว่า "ไอศกรีมซันเดย์ ราคาเท่าไหร่ครับ ?"
"ห้าสิบเซ็น" พนักงานเสิร์ฟสาวตอบ
แล้วเด็กชายก็ดึงมือออกจากกระเป๋าแล้วก็นับเหรียญในมือ"งั้นไอศกรีมเปล่าๆล่ะครับ ราคาเท่าไหร่?" เด็กชายถามอีก
ตอนนี้เริ่มมีคนรอโต๊ะมากขึ้นและพนักงานเสริฟสาวก็เริ่มจะหมดความอดทน"สามสิบห้าเซ็น" เธอตอบห้วนๆ เด็กชายนับเหรียญในมืออีกครั้ง
"ผมขอไอศกรีมเปล่าครับ" เด็กชายบอกแล้วพนักงานเสริฟสาวก็เอาไอศกรีมมาให้ เอาใบเสร็จมาให้แล้วก็เดินหนีไป
เด็กชายทานไอศกรีมหมดแล้ว ก็จ่ายเงินแล้วก็จากไป
เมื่อพนักงานเสิร์ฟเดินกลับมา เธอก็เริ่มร้องไห้เมื่อเธอเช็ดโต๊ะบนโต๊ะนั้นมีเหรียญนิกเกิลราคาห้าเซ็นต์สองเหรียญและเหรียญเพนนีอีกห้าเหรียญวางอยู่อย่างบรรจงข้างถ้วยไอศกรีมเปล่านั้น
เห็นไหมว่า ที่เด็กชายไม่ทานไอศกรีมซันเดเพราะเขาต้องเหลือเงินไว้ทิปพนักงานเสิร์ฟสาวคนนั้น
4. บทเรียนสำคัญที่สี่ – สิ่งที่กีดขวางทางของเรา
ในยุคโบราณมีหินผาตกลงมาขวางถนนเส้นหนึ่งเมื่อพระราชามาพบเข้าจึงซ่อนพระองค์อยู่เพื่อคอยดูว่าจะมีใครมาเอาหินใหญ่ก้อนนั้นออกไปจากทาง
เมื่อเสนาบดีในราชสำนักของพระองค์และพ่อค้าผู้ร่ำรวยผ่านมาก็เพียงแต่อ้อมหินผาก้อนใหญ่นั้นไปพวกเขากล่าวตำหนิพระราชาต่างๆนานาที่พระองค์ไม่ใส่พระทัยที่จะดูแลทางนั้นให้ดีแต่ก็ไม่มีใครทำอะไรที่จะเอาหินนั้นออกไปให้พ้นทาง
จนกระทั่งชาวบ้านคนหนึ่งแบกผักกองใหญ่ผ่านมาเมื่อเขาเดินมาถึงหินผานั้น เขาก็วางสัมภาระลงแล้วพยายามที่จะขยับก้อนหินนั้นให้พ้นทาง
หลังจากทั้งผลักทั้งดึงหินก้อนนั้นในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ เมื่อเขาหยิบสัมภาระของเขาขึ้นมาก็เห็นถุงเงินวางอยู่ตรงจุดที่ก้อนหินผาเคยอยู่ในถุงนั้นมีเหรียญทองและจดหมายจากพระราชาเขียนไว้ว่า "ทองในถุงนั้นเป็นของผู้ที่เอาหินผาออกไปจากถนน"
ชาวบ้านคนนั้นได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยได้รู้ทุกๆอุปสรรคที่กีดขวางทางนั้น จะมอบโอกาสที่เราจะดีขึ้นให้กับเรา"
5. บทเรียนสำคัญที่ห้า – ให้เมื่อมันมีค่า
หลายปีมาแล้ว เมื่อฉันไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งฉันได้รู้จักกับเด็กหญิงคนหนึ่งชื่อ ลิซ ซึ่งป่วยเป็นโรคร้ายที่มีน้อยคนที่จะเป็น
โอกาสที่เธอจะหายจากโรคนี้ได้คือต้องทำการถ่ายเลือดจากน้องชายอายุห้าขวบของเธอ
ผู้ซึ่งรอดจากโรคร้ายนี้ได้อย่างปาฏิหาริย์จึงทำให้เขาร่างกายเขาสร้างภูมิคุ้มกันโรคร้ายนี้ขึ้นมา
หมออธิบายสถานการณ์ให้น้องชายของเธอฟังและถามเด็กชายว่าเขาต้องการจะให้เลือดของเขาแก่พี่สาวหรือไม่
ฉันเห็นเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า"ได้ครับ หากมันช่วยพี่สาวผมได้"
เมื่อทำการถ่ายเลือด เขานอนยิ้มอยู่ที่เตียงข้างๆพี่สาวในขณะที่เราเริ่มจะเห็นสีสันคืนสู้แก้มของเธอ
หน้าของเด็กชายก็เริ่มซีดและรอยยิ้มก็จางหายไปเด็กชายมองไปที่หมอ และถามด้วยเสียงสั่นเครือ
" ผมกำลังจะตายใช่ไหม?"ด้วยความเป็นเด็ก เขาเข้าใจหมอผิดไป
เด็กชายคิดว่าเขาต้องให้เลือดทั้งหมดของเขาแก่พี่สาว เพื่อช่วยชีวิตเธอ
ซึ่งเขาก็ยังตัดสินใจที่จะถ่ายเลือด แม้จะทำให้เขาต้องตายก็ตาม
ว่าแล้วปฎิเสธไม่ออกเลเพราะไม่เจอทัพพี
สั้นๆแต่ดียังงี้ลูกต้องยอมสละ
แม่: ดีจ้ะลูก ลูกทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ลูกชาย: แต่แม่ครับ ผมนั่งอยู่บนตักพ่อนะ
เรื่องเล็กๆน่าขำน้อยๆๆ
วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เกร็ดเล็กๆในการดำเนินชีวิต19ข้อง่ายๆเอง
2. เมื่อคุณแพ้ อย่าลืมเก็บไว้เป็นบทเรียน
3. จงปฏิบัติตาม 3Rs3.1 เคารพตนเอง3.2 เคารพผู้อื่น 3.3 รับผิดชอบต่อการกระทำของตน
4. จงจำไว้ว่า การที่ไม่ทำตามใจปรารถนาของตนบางครั้งก็ให้โชคอย่างน่ามหัศจรรย์
5. จงเรียนรู้กฎ เพื่อจะทราบวิธีการฝ่าฝืนอย่างเหมาะสม
6. จงอย่าปล่อยให้การทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเพียงเล็กน้อย มาทำลายมิตรภาพอันยิ่งใหญ่ของคุณ
7. เมื่อคุณรู้ว่าทำผิด จงอย่ารอช้าที่จะแก้ไข
8. จงใช้เวลาในการอยู่ลำพังผู้เดียวในแต่ละวัน
9. จงอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง แต่อย่าปล่อยให้คุณค่าของคุณหลุดลอยจากไป
10. จงระลึกไว้ว่า บางครั้งความเงียบก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
11. จงดำเนินชีวิตด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อที่ว่าเมื่อคุณสูงวัยขึ้นและคิดหวนกลับมาคุณจะสามารถมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำลงไปได้อีกครั้ง
12. บรรยากาศอันอบอุ่นในครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญของชีวิต
13. เมื่อเกิดขัดใจกับคนที่คุณรัก ให้หยุดไว้แค่เรื่องปัจจุบัน อย่าขุดคุ้ยเรื่องในอดีต
14. จงแบ่งปันความรู้ เพื่อเป็นหนทางก้าวสู่ความเป็นอมตะ
15. จงสุภาพกับโลกใบนี้
16. จงหาโอกาสท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่คุณไม่เคยไป อย่างน้อยก็ปีละครั้ง
17. จำไว้ว่า ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด คือความรักมิใช่ความใคร่
18. จงตัดสินความสำเร็จของตนด้วยสิ่งที่ต้องเสียสละ
19. จงเข้าใกล้ความรักด้วยการปล่อยวางโปรดส่งมนตรานี้ต่อ ๆ ไปให้คนอื่นๆได้อ่าน
ฮาจริงๆเพื่อนบ้ามาคิดตังร์สามีชั้น
เรื่องฮาๆจากฟอร์เวิร์ดเมลล์ อ่านแล้วถูกใจ
หนูติดตามอ่านคอลัมภ์ของอาหมอมานานแล้วค่ะ จากถุงกล้วยแขกที่แม่หนูขายหนูชอบอ่านเรื่องความทุกข์ความเจ็บปวดของชาวบ้านค่ะ นึกไม่ถึงว่าวันนี้มันย้อนมาหาหนูเข้าเต็มเปาคราวนี้หัวเราะไม่ออกค่ะอาหมอคะ หนูอายุ 17 ขวบแล้ว…เมื่อปีกลางมะโรงที่ผ่านมาหนูได้รู้จักกับผู้ชายที่โรงเรียนเขาชอบมองหนูค่ะ แต่หนูพยายามไม่สนใจเขาเพราะเราต้องตั้งใจเล่าเรียนจริงไหมค่ะเขามาชวนหนูคุยหนูก็พยายามเลี่ยง พอเขาชวนกินข้าวหนูก็กินค่ะเพราะเขาออกเงินให้นี่คะ เราคบกันอยู่นานค่ะ เกือบ 2วัน…เขาก็ชวนหนูไปดูหนังค่ะหนูรีบปฏิเสธค่ะ แต่พอเขาบอกว่าเขาเลี้ยงเองหนูก็โอเคในโรงหนังเขาพยายามจับมือจับไม้หนูหนูไม่ยอมเพราะข้าวโพดคั่วมันจะหกหนูเสียดายค่ะพอดูหนังเสร็จเราก็นั่งรถเมล์กลับบ้าน แต่เขากลับชวนหนูลงกลางทาง…หนูเหลือบมองเห็นป้ายด้านหน้าทางเข้าเขียนว่าโรงแรมก็ทั้งโกรธทั้งอายคนเขาค่ะหนูต่อว่าเขาแล้วรีบวิ่งหนีเข้าไปข้างในบอกบ๋อยที่วิ่งตามว่าหนู ขอห้องวีไอพีค่ะ หนูเข้าไปนั่งอยู่บนเตียงเขาเข้ามากอดจูบหนูหนูก็ผลักเขาออกแล้วผลัดผ้ามานุ่งผ้าเช็ดตัวหนูกลัวเสื้อยับค่ะอาหมอคะหนูสู้แรงเขาไม่ได้ค่ะ หนูตกเป็นของเขา ก็ผู้หญิงตัวเล็กๆจะเอาแรงที่ไหนไปสู้จริงไหมคะหนูเลย สั่งลิโพมาดื่ม 2 ขวด ก็พอมีแรงหิ้วเขาออกจากห้องกลับบ้านได้ค่ะหลังจากวันนั้นเขาก็พยายามชวนหนูอีกหนูต้องให้เขารับปากว่า…เขาเป็นคนจ่ายค่าห้อง กับค่าลิโพ! หนูถึงตกลงค่ะอาหมอว่าหนูเสียเปรียบไหมคะ เพราะหนูต้องออกค่ารถเมล์เองค่ะ
ขำๆและถูกใจ มุขนี้ใช้ได้เลย
ผมไม่เอาเมีย 6 อาชีพนี้แน่
1. พวกนักกีฬา เพราะว่าพวกนี้วันๆมัวจ้องจะทำลายสถิติ อยู่บ้านเฉยๆก็สะกิดแล้ว
หมู่นี้สถิติตกไปนะคะคุณพี่ขา มาทำลายสถิติกันเถอะค่ะ …
2. พวกครู พวกนี้ช๊อบชอบสอน สอนเสร็จก็ถามว่า เข้าใจไหม ถ้าตอบว่าเข้าใจ
ก็ให้การบ้านไปทำ ทั้งที่เหนื่อยจะแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูอนุบาล
หล่อนชอบพูดว่า เก่งมากกกกค่าาาา เอาาาอีกกกก….
3.พวกพยาบาลทั้งหลาย พวกนี้วิกลจริต รักความสะอาด ชอบถามว่าล้างแล้วหรือยัง
ถ้าบอกว่าล้างแล้ว ก็จะถามต่อว่า แล้วลวกน้ำร้อนหรือยัง เช็ดแอลกอฮอล์หรือยัง
.. แล้วใครจะไปเช็ดล่ะ …
4.พวกพนักงานโอเปอร์เรเตอร์ เพราะเวลาเราต้องการ มักจะบอกว่า ” กรุณารอสักครู่ ”
5. พนักงานแคชเชียร์ เพราะชอบติดป้ายว่า ” กรุณาใช้ช่องถัดไป ”
6 อาชีพที่หกที่ควรหลีกเลี่ยงเอามาเป็นเมียก็คือเทรนเนอร์มวย
เพราะให้เราซ้อมชกลมเป็นเดือนเป็นปีกว่าจะให้ชกจริงซักครั้ง
6 อาชีพ ที่ไม่ควรเลือกเป็นภรรยา
เรื่องน่ารักๆอย่างโปรแกรมความรักลองดู
ลูกค้า : ดิฉันได้นั่งนึกดูแล้วคิดว่า โปรแกรมความรัก นี่ก็น่าสนใจ ดีนะคะ คุณช่วยกรุณาแนะนำดิฉันหน่อยได้ไหมคะว่าจะลงโปรแกรมนี้ยังไง
ช่างเทคนิค : ด้วยความยินดีครับ ไม่ทราบว่าพร้อมที่จะลงโปรแกรม หรือยังครับ
ลูกค้า : อืม... ไม่รู้เหมือนกันคะ บอกตามตรงว่าดิฉันไม่ค่อยรู้ เรื่องคอมพิวเตอร์เท่าไร แต่ดิฉันคิดว่าน่าจะพร้อมคะ ไม่ทราบว่าต้องเริ่มทำยังไงบ้างคะ
ช่างเทคนิค : อันดับแรกเลยคุณต้องเปิดใจคุณก่อนครับ
ลูกค้า : ไม่มีปัญหาคะ แต่ว่าตอนนี้ฉันเปิดใช้โปรแกรมอื่นอยู่ด้วย ไม่ทราบว่าจะมีปัญหาในการติดตั้งไหมคะ ถ้าฉันไม่ได้ปิดโปรแกรมพวกนี้
ช่างเทคนิค : ไม่ทราบว่าโปรแกรมอะไรหรือครับที่กำลังเปิดใช้งานอยู่
ลูกค้า : เดี๋ยวขอดิฉันดูนิดนึงนะคะ อืม... ก็มีโปรแกรม "ความเจ็บปวดในอดีต" "การไม่เห็น คุณค่าของตัวเอง", "ความริษยา", "ความขุ่นเคือง" และก็ "โปรแกรมความโกรธ" ทั้งหมดที่เปิดก็มีเท่านี้คะ
ช่างเทคนิค : ไม่มีปัญหาครับ โปรแกรมความรักจะค่อยๆลบความเจ็บปวดในอดีตออกจากระบบปฏิบัติการครับ มันอาจจะคงอยู่ในหน่วยความทรงจำแต่ว่าจะไม่รบกวนการทำงานของโปรแกรมอื่นๆครับไม่ต้องกังวล สำหรับโปรแกรมการไม่เห็นคุณค่าของตัวเองนั้นจะค่อยๆหายไปเอง เพราะส่วนประกอบส่วนหนึ่งของโปรแกรมความรัก คือการเห็นคุณค่าของตนเอง ส่วนนี้จะค่อยๆเข้ามาแทนที่อย่างช้าๆ จนการไม่เห็นคุณค่าตัวเองหมดไป แต่ว่าคุณเองจะต้องปิดโปรแกรมความริษยา ความขุ่นเคืองและ ความโกรธลง เพราะโปรแกรมพวกนี้จะขัดขวางไม่ให้โปรแกรมความรักสามารถติดตั้งได้ รบกวนช่วยปิดโปรแกรมพวกนี้ ก่อนได้ไหมครับ
ลูกค้า : บอกตามตรงเลยนะคะ ดิฉันไม่รู้จริงๆคะว่าจะปิดโปรแกรมพวกนี้ยังไง
ช่างเทคนิค : เข้าไปที่ Start Menu นะครับแล้วเรียกโปรแกรมการให้อภัยขึ้นมา ต้องเปิดโปรแกรมนี้เรื่อยๆจนกว่าความริษยา, ความขุ่นเคืองและก็ความโกรธจะถูกลบออกไปจนหมด
ลูกค้า : ได้คะ.... เสร็จแล้วคะ ตอนนี้โปรแกรมความรักเริ่มที่จะติดตั้งอัตโนมัติแล้วคะ แต่เอ.. นี่เป็นปกติของโปรแกรมใช่ไหมคะที่ติดตั้งด้วยตัวมันเอง
ช่างเทคนิค : ใช่ครับ แต่อย่าลืมนะครับว่านี่เป็นเพียงโปรแกรมพื้นฐานเท่านั้น คุณจะต้องติดต่อกับหัวใจดวงอื่นๆเพื่อที่จะได้ upgrade โปรแกรมความรักให้มี version ที่สูงขึ้น
ลูกค้า : อุ้ย.... มีข้อความผิดพลาดขึ้นที่หน้าจอ บอกว่า "โปรแกรมไม่สามารถติดต่อออกไปสู่ภายนอกได้" ดิฉันควรทำยังไงดีคะ
ช่างเทคนิค : ไม่ต้องตกใจครับ นั่นแสดงว่า ตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้งอยู่ภายในใจคุณเรียบร้อยแล้วครับ แต่ที่โปรแกรมยังไม่สามารถใช้งานได้ ก็เพราะว่าคุณต้องเริ่มรักตัวคุณเองก่อน จากนั้นคุณถึงจะรักคนอื่นได้
ลูกค้า : แล้วดิฉันควรจะทำยังไงคะ
ช่างเทคนิค : คุณช่วยเลื่อนการยอมรับตัวเองลงมาหน่อยได้ไหมครับ จากนั้นให้คลิกที่ไฟล์ "การยกโทษให้ตนเอง" "การรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง" และ "การยอมรับถึงความจำกัดในตัวคุณ"
ลูกค้า : ได้คะ... เสร็จแล้วคะ
ช่างเทคนิค : OK ครับ. จากนั้นก็ Copy ไฟล์พวกนี้เข้ามาในไดเร็กทอรี่ >"ใจฉัน" ระบบจะทำการจัดการไฟล์ที่มีปัญหารวมทั้งแก้ไขโปรแกรมต่างๆที่มีข้อผิดพลาด แต่ว่าคุณจะต้องลบไฟล์ "การพูดถึงตัวเองในแง่ลบ" และ "ไฟล์การตัดสินผู้อื่น" ออกจากทุกๆไดเร็กทอรี่นะครับ และอย่าลืมเข้าไปลบอีกที ใน Recycle Bin นะครับ เพื่อให้มั่นใจว่าไฟล์พวกนี้ถูกลบจนหมดและไม่มีทางกลับเข้ามาทำความยุ่งยากได้อีก
ลูกค้า : ทราบแล้วคะ เอ๊ะ!! มีไฟล์ใหม่ๆเกิดขึ้นในหัวใจตั้งเยอะคะ " ยิ้ม " กำลังวิ่งเล่นอยู่บนหน้าจอ "สันติสุข" และ "ความยินดี" กำลัง Copy ตัวเองอยู่ทั่วไป ภายในใจฉัน นี่เป็นปกติหรือเปล่า คะ
ช่างเทคนิค : ครับ บางครั้งสำหรับบางคน อาจต้องใช้เวลาหน่อย แต่ท้ายที่สุด สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสม ตอนนี้โปรแกรมความรักได้ติดตั้งและเปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ มีอีกอย่างหนึ่งที่อยากจะบอกก่อนที่จะวางสายครับ ความรักเป็นโปรแกรมให้เปล่า อย่าลืมแบ่งปันให้คนอื่นนะครับ ความรักที่คุณให้ไปจะไม่เหมือนกันในแต่ละคน และความรักนี้จะถูกส่งต่อไปยังคนอื่นๆและส่วนหนึ่งก็จะกลับคืนมาสู่ตัวคุณด้วย และเมื่อนั้น ความรักของคุณก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ลูกค้า : ดิฉันให้สัญญาคะว่าจะแบ่งปันโปรแกรมความรักให้กับคนอื่นๆ รบกวนขอทราบชื่อของคุณหน่อยได้ไหมคะ
ช่างเทคนิค : เรียกผมว่า"ผู้ชันสูตรจิตใจ" หรือ "เราเป็น"(I AM) ก็ได้ครับ คนส่วนใหญ่คิดว่าพวกเขาจะต้องไปตรวจสุขภาพจิตใจปีละครั้ง เพื่อให้หัวใจเขามีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง แต่ผู้ที่สร้างใจ(ผมเอง)ขอแนะนำว่าไม่จำเป็น เพียงแต่คุณคอยหมั่นดูแลความรักให้คงอยู่ในแต่ละวันก็เพียงพอแล้วครับ
ข้อแตกต่างระหว่าง ผู้ชนะ กับ ผู้แพ้
1) ผู้ชนะ : เมื่อพบว่ามีข้อผิดพลาด จะพูดว่า ฉันทำผิดเอง
ผู้แพ้ : เมื่อพบข้อผิดพลาด จะพูดว่า ไม่ใช่ความผิดของฉัน
2) ผู้ชนะ : จะทำงานหนักกว่าปกติ และมีเวลามากกว่าผู้แพ้
ผู้แพ้ : จะทำงานแบบยุ่งทั้งวัน โดยที่ไม่คิดว่า งานไหนควรทำก่อน ทำหลัง
3) ผู้ชนะ : จะเผชิญหน้ากับปัญหาและลงมือแก้ไขปัญหานั้น
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้าม คือหลีกเลี่ยงปัญหา
4) ผู้ชนะ : จะลงมือทำงานให้ปรากฏผลงานขึ้น
ผู้แพ้ : จะให้แต่คำสัญญา คือมีแต่ลมปาก แต่ไม่ลงมือ
5) ผู้ชนะ : จะพูดว่า “ ฉันทำได้ดี แต่ยังไม่ดีเท่ากับที่ฉันต้องการ “
ผู้แพ้ : จะพูดว่า “ ยังมีคนอื่นอีกหลายคนที่มีผลงานแย่กว่าตัวเขา “
6) ผู้ชนะ : จะตั้งใจฟัง แล้วทำความเข้าใจ และ สามารถตอบสนองได้
ผู้แพ้ : จะรออย่างเดียว โดยไม่ฟัง ไม่ทำความเข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด รอจนกว่าจะถึงคิวที่จะได้พูดเรื่องของตัวเอง
7) ผู้ชนะ : จะยอมรับ นับถือคนที่มีความสามารถเหนือกว่า และจะเรียนรู้จากคนเหล่านั้น
ผู้แพ้ : จะทำในทางตรงข้ามและจะพยายาม หาข้อผิดพลาดของคนที่เหนือกว่าเขา
8) ผู้ชนะ : จะมีความรับผิดชอบ ไม่เพียงแต่งานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น จะช่วยคิดให้องค์กรประสบความสำเร็จ
( ไม่ใช่ไปก้าวก่าย งานคนอื่นนะ )
ผู้แพ้ : จะไม่กล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่น และ มักจะพูดว่า ฉันไม่ว่าง กำลังทำงานของฉันอยู่
9) ผู้ชนะ : ต้องมีวิธีที่จะทำให้ดีขึ้นได้เสมอ
ผู้แพ้ : จะพูดว่า “ นี่คือหนทางเดียวที่ทำได้ “
10) ผู้ชนะ : จะแบ่งปันบทความนี้ไปยังเพื่อนๆของเขา
ผู้แพ้ : จะเก็บบทความนี้เอาไว้ เพราะว่าเขาไม่มีเวลาที่จะแบ่งปันไปให้คนอื่น
พ่อ...สอนลูก อ่านแล้วรู้สึกดี
อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่คุณพ่อออกไปทำงาน ....ลูกชายชื่อจอร์จ ซึ่งได้ขวานเล็กๆ อันใหม่มา ด้วยความซนก็ฟันนู่นฟันนี่ แล้วก็ไปโดนต้นเชอรี่แสนรักของคุณพ่อเข้า ต้นเชอรี่ค่อยๆ เอนตัวแล้วก็ล้มลงกับพื้น เหลือแต่ตอที่อยู่เหนือพื้นดินมาไม่กี่นิ้ว
เมื่อคุณพ่อกลับมาถึงบ้านเห็นต้นเชอรี่แสนรักในสภาพอย่างนั้น ก็ตกใจมาก เรียกทุกคนในบ้านมาถามก็ไม่มีใครทราบ .....จนคุณพ่อนึกถึงลูกชายคนนี้ ก็ตะโกนเรียก ด้วยเสียงอันดังว่า "จอร์จ มา นี่ซิ "
จอร์จก็เดินออกมาหาคุณพ่อ คุณพ่อได้ถามจอร์จว่า
"จอร์จ ลูกรู้ไหมว่าทำไมต้นเชอรี่ถึงเป็นแบบนี้"
จอร์จก้มหน้าแต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นตอบคุณพ่อว่า .....
"ผมไม่กล้าโกหกคุณพ่อหรอกครับว่า ผมเป็นคนเอาขวานฟันต้นเชอรี่นี้เอง"
คุณพ่อบอกจอร์จว่า "เข้าไปรอพ่อในบ้าน" ….จอร์จเดินเข้าไปรอคุณพ่อในห้องของเค้า
เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ คุณพ่อก็เข้ามาในห้อง และถาม จอร์จ ว่า....
"ทำไมลูกถึงตัดต้นเชอรี่ที่อีกหน่อยทุกคนในบ้านจะได้กินผลจากมันล่ะ"
จอร์จตอบคุณพ่อว่า "ผมไม่ได้ตั้งใจครับ ผมทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผมเอง"
แล้วจอร์จก็ก้มหน้าลง หน้าแดงด้วยความละอาย
แล้วก็ได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า "จอร์จ ลูกดูหน้าพ่อซิ .....
ถึงพ่อจะรู้สึกเสียใจที่ต้นเชอรี่ที่พ่อรักถูกโค่นไป แต่พ่อก็ดีใจยิ่งกว่าที่ลูกของพ่อซื่อสัตย์
และกล้าหาญที่ยอมรับในการกระทำของตัวเอง
ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ถึงแม้จะมีเชอรี่พันธุ์ดีเต็มสวนก็ไม่มีประโยชน์ อะไร"
จอร์จ จดจำเรื่องราวเหล่านี้ และใช้ความกล้าหาญและซื่อสัตย์ตลอดมา....
จนกระทั่งในการดำรงฐานะเป็นประธานาธิบดี "จอร์จ วอชิงตัน"
เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของท่านประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน
ฟังแล้วประทับใจในวิธีการ สอนของคุณพ่อ ..
แทนที่คุณพ่อจะทำโทษลูกด้วยวิธีอันรุนแรง เกรี้ยวกราดกับลูก หรือให้ความสำคัญกับสิ่งของ
แต่คุณพ่อกลับพูดกับลูกอย่างอ่อนโยน....ด้วยถ้อยคำที่ทำให้ลูกต้องจดจำไปตลอดชีวิต
ถ้าคุณพ่อทำโทษแรง ๆ ก็อาจจะไม่มีประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตันแบบนี้ก็ ได้…..
ในชีวิตมีสักครั้งไหม....ที่เราเกรี้ยวกราดกับสิ่งที่ไม่มีวันได้คืน.....แทนที่จะใส่ใจกับสิ่งที่ยังอยู่ มากกว่า
ถ้าคุณยังไม่เคยได้นึก ถึง หรือว่าอาจลืมไป...ยังไม่สายหรอก....มาเติมเต็มชีวิตกันเถอะ.....
7 สุดยอด เคล็ดลับที่จะทำให้ชีวิตการทำงานก้าวหน้า
แค่ “คลิก” เท่านั้น โลกแห่งข้อมูลข่าวสารก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าจอ ใคร ๆ ก็รู้ว่ายุคสมัยนี้ เค้าเอาชนะกันด้วย “ข้อมูล” ยิ่งรอบรู้มากเท่าไร คุณจะยิ่งมั่นใจในสิ่งที่คิดที่ทำ มากเท่านั้น คุยกับใครก็เป็นต่อ เพื่อนร่วมงานก็แอบทึ่ง โดยเฉพาะเจ้านายคงนิยมชมชอบเทคะแนนให้คุณเต็มที่
2.ประเมินตัวเองอย่างมีเหตุผล
ได้เวลา “กำจัดจุดอ่อน” (Wow!) อย่าเพิ่งตกใจว่าใครจะมากำจัดคุณ ตัวคุณเองนั่นแหละที่ต้องการกำจัดจุดอ่อนของตัวเอง เริ่มจากเขียนออกมาเป็นข้อ ๆ ว่าคุณมีจุดอ่อน จุดแข็งอะไรบ้าง แล้วให้เพื่อนที่คบกันมานานจนรู้ไส้รู้พุงคุณดีลองอ่าน และช่วยแนะนำว่า คุณควรปรับปรุงจุดไหนบ้างจากนั้นก็พิจารณาเหตุผลที่ได้ในแต่ละข้อแล้วนำมาแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ โดยเฉพาะจุดอ่อนของคุณ คุณควรพยายามแก้ไขให้ได้ เพื่อประโยชน์ของตัวคุณเอง
3.พิชิตความกลัวด้วยความกล้า
การเอาชนะความกลัวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คงไม่ยากจนเกินความสามารถ โดยเริ่มฝ่าด่านความกลัวจากเรื่องง่าย ๆ เช่น ตั้งแต่เกิดมาคุณไม่เคยดูหนังคนเดียวเลย (ในโรงภาพยนตร์) แต่อยู่มาวันหนึ่งคุณกล้าที่จะไปดูหนังคนเดียว โดยไร้คนข้างกาย (Yes!) ลองทำในสิ่งที่คุณไม่กล้าที่ทำ แล้วคุณจะรู้สึกถึงชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เกิดความภาคภูมิใจในตัวเองและมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น ใช้ความรู้สึกนี้แหละเผชิญหน้ากับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้คุณกลัวในที่ทำงานแล้วคุณจะพบว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเลยสักนิด ถ้าคุณกล้าที่จะทำ
4.จัดระบบให้การทำงานมีระเบียบ
การจัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นระบบ จะปลดปล่อยจิตใจคุณให้เป็นอิสระ และคุณจะได้เห็นอะไร ๆ ชัดเจนขึ้น โต๊ะทำงานที่รก ๆ เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสาร ควรจัดเก็บให้เข้าที่เข้าทาง เพื่อความสะดวกในการค้นหา และนำมาใช้งาน ถ้ารู้สึกว่าหน้าจอคอมพิวเตอร์เต็มไปด้วยอีเมล์เก่า ๆ หรือไฟล์งานที่ไม่ใช้แล้ว จงโยนทิ้งไปซะ อย่าเก็บไว้หนักเครื่องกระซิบอีกนิดว่าคุณควรมี Note Book หรือ Electric Organizer เป็นของตังเอง เพราะเจ้าสิ่งนี้คือผู้ช่วยสำคัญของคุณเชียวนะ แล้วยังสร้างภาพพจน์ให้คุณดูทันสมัยไฮเทคอีกด้วย
5.การมีสุขภาพจิตที่ดีอยู่เสมอ
การทำใจให้สบายคือคุณแจดอกสำคัญที่จะขจัดปัญหาต่าง ๆ เชื่อเถอะ! ไม่มีอะไรแย่จนแก้ไม่ได้ จงมองโลกในแง่ดี มีทัศนคติที่ดีในการทำงาน ถ้าเครียดมากนักก็พักซะบ้างและที่พักผ่อนที่ดีที่สุดไม่พ้น “ที่บ้าน” คุณจึงควรสร้างสรรค์สวรรค์ในบ้านให้เป็นที่พักใจ โดยจัดมุมพักผ่อนที่เงียบสงบ สามารถแวะเข้ามานั่งเล่น นอนเล่นได้อย่างสบายใจ ถ้ายามใดที่ต้องแบกปัญหากลับมาบ้าน แวะเข้ามามุมนี้ พักสมอง ผ่อนคลายความเครียด อย่างน้อยสัก 5 นาที ในแต่ละวัน ไอเดียปิ๊ง ๆ มักจะเกิดขึ้นในยามที่จิตใจสงบเสมอ
6.อย่าเชื่อใครแบบไร้เหตุผล
เพื่อนร่วมงานของคุณทุกคนใช่ว่าจะอยู่ข้างคุณเสมอ จงระวังคนที่คุณไว้เนื้อเชื่อใจ คนที่คุณชอบปรึกษาปัญหา หรือระบายความในใจให้ฟัง เพราะคุณไม่มีวันรู้หรอกกว่าเค้าจะนำไปพูดต่ออย่างไร ฉะนั้นคุณควรศึกษานิสัยใจคอเพื่อนร่วมงานให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะพลั้งปากเผยความลับออกไป
7.ค้นหาคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง
ถามตังเองว่า คุณจะทำตัวเองให้อยู่อย่างมีชีวิตชีวาและมีความสุขได้อย่างไร? ลองทบทวนถึงสิ่งที่ผ่านมา ถ้าคุณ Happy กับหน้าที่การงานและสภาพแวดล้อมก็ No Problem แต่ถ้าเป็นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ก็ควรเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ ไม่แน่อนาคตที่สดใสอาจรอคุณอยู่ที่ออฟฟิศใหม่ ก็เป็นได้
ตลกฝรั่งแต่ขำดี
"ซ่อมไฟทางเดินให้หน่อยสิ มันเสียมาหลายวันแล้ว"
"ซ่อมไฟเหรอ" สามีโมโห
"ฉันไม่ได้ทำงานเจเนรัลอิเลคทริคนะ ดูที่หน้าผากซิมี จีอี. สลักไว้หรือเปล่า"
"งั้นซ่อมประตูตู้เย็นให้หน่อยนะ" ภรรยาขอต่อ
"ซ่อมตู้เย็น ? " สามีฉุน "ไม่ได้ทำงานเวิล์ดพูลนะ ดูหน้าผากฉันซิมีอักษรสลักไว้หรือเปล่า"
"ค่ะ อย่างน้อยช่วยดูบันไดให้หน่อยได้ไหม รู้สึกมันจะพังแล้วนะ
"ซ่อมบันได" สามีโมโหสุดขีด "ฉันไม่ใช่พนักงานรับซ่อมบ้านนะ ดูซิมีเครื่องหมายพนักงานอยู่ตรงไหน"
สามีปึงปังออกจากบ้านไป เขาไปดื่มเหล้าดับอารมณ์อยู่สักพักก็รู้สึกตัวว่าเขาพูดจารุนแรงไป
เขาตัดสินใจกลับบ้านมาซ่อมของใช้ให้ภรรยา
เมื่อกลับเข้าบ้าน เขาเห็นไฟทางเดินส่องสว่างดี ประตูตู้เย็นก็ซ่อมเป็นปกติ บันไดก็ซ่อมเสร็จ
เขาจึงถามภรรยา "ที่รัก นี่เธอซ่อมมันยังไง"
"อ๋อ พอคุณออกจากบ้านไป ฉันก็นั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าบ้าน มีผู้ชายคนหนึ่งผ่านมาถาม ฉันเลยเล่าให้ฟัง
เขาอาสาว่าจะซ่อมให้ โดยขอนอนกับฉันครั้งหนึ่ง หรือไม่ก็ทำคุกกี้ให้เขา"
"เหรอ แล้วเธอทำคุกกี้อะไรให้เขาล่ะ" สามีถาม
"นี่คุณ" ภรรยาขึ้นเสียง
"ดูหน้าผากฉันซิ มีอักษร S & P หรือเปล่า"
เป็นธรรมดาของคนครับ
หญิงสาว : ซอยมันแคบกลับรถลำบากนะค่ะ
ชายหนุ่ม : ไม่เป็นไรครับ ผมถอยหลังผ่านตลอดออกได้
เมื่อแต่งงานกันผ่านไป 5 ปี.... อะไรอย่างนี้ก็เกิดขึ้น
ภรรยา : พี่ ๆ กลับเถอะดึกมากแล้ว
สามี : จะคุยกับเพื่อน กลับไปก่อนซิ
ภรรยา : ซอยมันเปลี่ยว อันตรายน่ะพี่
สามี : กลับประจำ ไม่มีอะไรหรอก
ภรรยา : ชั้นกลัวถูกข่มขืน
สามี : ไม่หรอกน่า ... เดี๊ยวนี้ โจรมันฉลาด... มันรู้จักเลือก
วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552
เรื่องขำๆ
ซึ่งเขาอยู่กับสาวสวยชื่อนิสา
คุณแม่จึงอดเคลือบแคลงในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ได้
ระหว่างร่วมโต๊ะมื้อเย็นนั้นเอง
คุณแม่ของวินัยเฝ้าสังเกตสายตาที่ทั้งคู่มองสบกัน
จนลูกชายชักเดาใจออก จึงรีบพูดขึ้นว่า
“ผมรู้นะว่าแม่กำลังคิดอะไร .. แต่ผมยืนยันได้แน่ว่า
ผมกับนิสาเป็นแค่รูมเมทเท่านั้น ไม่มีอะไรเกินเลยจริงๆ”
หลังจากแม่ของวินัยกลับไปได้ 1 อาทิตย์ นิสาจึงบอกวินัยว่า
“ตั้งแต่แม่ของคุณมาเยี่ยมเราคราวนั้น ฉันก็หาทัพพีคันโปรดไม่เจอเลย
ที่จริง..ฉันก็ไม่คิดว่าแม่ของคุณจะเอาไปหรอกนะคะ หรือคุณว่ายังไง”
วินัยจึงตอบว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่จะลองเขียนจดหมายไปถามคุณแม่ดู”
วินัยจึงนั่งลงเขียนจดหมาย เนื้อความว่า..
“เรียน คุณแม่สุดที่รัก..
ผมไม่ได้คิดว่าคุณแม่จะเผลอเอาทัพพีที่บ้านผมไปหรอกนะครับ
แต่จะว่าแม่ไม่ได้เอาไป..... ก็ยังไงอยู่ เพราะทัพพีสวย ๆ
คันหนึ่งหายไปตั้งแต่วันที่คุณแม่มาทานข้าวเย็นที่บ้าน
ขอแสดงความนับถือ
วินัย”
หลายวันต่อมา วินัยได้รับจดหมายตอบจากแม่ของเขา เนื้อความว่า..
“ถึง ลูกชายสุดที่รักของแม่
แม่ไม่เคยพูดว่าลูกมีอะไรกับนิสา
แต่แม่ก็ไม่ได้คิดว่าลูกจะไม่มีอะไรกับเธอ
เพราะความจริงมีอยู่ว่า ถ้านิสานอนที่ห้องตัวเอง ก็คงเจอทัพพีนั่นไปตั้งนานแล้ว
รักมาก
แม่”