วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องอ่านแล้วซึ้งกินใจ

Diary สีน้ำเงิน
เมื่ออาทิตย์ก่อนฉันได้รับพัสดุไปรษณีย์ที่ส่งมาจากเพื่อนคนหนึ่ง...เพื่อนที่ฉันทำเค้าหล่นหายไปกับกาลเวลานานพอดู เกือบปีที่ไม่ได้เจอะเจอกันเลย
ครั้งสุดท้ายฉันรู้จากเพื่อนอีกคนเพียงว่าเค้าป่วยและลาออกจากงาน แล้วพาตัวเองหนีความวุ่นวายของสังคมเมืองกลับไปช่วยกิจการของที่บ้าน..ที่เกาะแห่งหนึ่งในจังหวัดตราด ฉันแกะกล่องพัสดุ แล้วฉันก็ได้พบ Diary สีน้ำเงินเล่มหนา ที่ดูเหมือนผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก พร้อมกับข้อความที่เขียนด้วยปากกาเส้นเล็กๆว่า สำหรับความรู้สึกที่ดีของความเป็นเพื่อน .. พร้อมกับลายเซ็นของตัวเอง นี่มัน Diary ของฉันที่เคยเขียนไปได้เพียงครึ่งหน้าและได้ให้กับเพื่อนคนนี้ไปในวันหนึ่งที่ฉันได้รู้เรื่องราวไม่สบายใจของเขา และพบว่า ที่เขาเล่าให้ฉันฟังมันไม่ใช่ความทุกข์ที่เขาอยากจะระบายออกมาทั้งหมด ฉันเลยแนะนำให้เขาเขียนในสิ่งที่เขาอยากอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้และให้บรรยายมันลงใน Diary ของฉันเล่มนี้ แล้วบอกเขาด้วยว่า ถ้าวันหนึ่งเขาไว้ใจเพื่อนอย่างฉัน เขาคงเล่าความทุกข์ของเขาทั้งหมดให้ฉันได้รับรู้..ฉันพลิกดู Diary สีน้ำเงินเล่มนี้อย่างคร่าวๆ..จากหน้าแรกจนหน้าสุดท้าย...
ไม่น่าเชื่อเพื่อนของฉันคนนี้เขียนมาจนหมดทุกหน้า...
ไม่บ่อยครั้งนักที่ฉันจะได้เห็นผู้ชายมานั่งเขียนอะไรมากมายอย่างนี้...และในหน้าสุดท้ายฉันก็ได้พบรูปของตัวเองที่ถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นที่คั่นหนังสือ..กับข้อความหลังภาพที่ว่า .. "หากเธอมองฉันผ่านมิตรภาพของความเป็นเพื่อน ฉันก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อน" ฉันพลิกกลับมาที่หน้าแรก..และเริ่มตั้งต้นอ่านอย่างตั้งใจ..จากหนึ่งเป็น สอง สาม สี่ และตามลำดับเรื่อยมา ฉันได้พบชื่อตัวเองบ่อยครั้งใน Diary เล่มนี้เหมือนเป็นการเล่าสู่กันฟังของเพื่อนกับเพื่อน
เรื่องราวที่ฉันได้รับรู้จาก Diary หลายต่อหลายครั้งที่ทำเอาฉันนั่งน้ำตาซึม...ไม่น่าเชื่อนะผู้ชายแข็งๆกระด้างๆที่มักจะทำให้คนอื่นได้ยิ้มได้หัวเราะอยู่ตลอดเวลาจะเก็บเอาอะไรมาคิดได้มากมายอย่างนี้...ฉันอ่านมันหน้าแล้วหน้าเล่า
แล้วฉันก็พบว่า เพื่อนที่ฉันคิดว่าฉันรู้จักเขามากพอ..มาวันนี้ฉันกลับรู้สึกว่าฉันไม่ได้รู้จักในตัวตนของเขาเท่าไหร่เลย..ฉันสัมผัสเค้าได้แค่เพียงเปลือกนอกที่เค้าแสดงออกมาให้คนอื่นได้รับรู้เพียงแค่นั้น
มีบางแง่มุมที่ไม่เคยรู้..ฉันก็ได้รู้ บางเรื่องที่ฉันลืมไปอย่างไม่ได้ใส่ใจ..ก็กลับมาอยู่ในความทรงจำอีกครั้ง ฉันได้อ่าน Diary สีน้ำเงิน เล่มนี้ได้มากพอดู ถึงได้รู้ว่า..สาเหตุที่เธอกลับมาอยู่ที่เกาะ มาช่วยกิจการที่บ้าน.เพราะอาการป่วยของเธอนั่นเอง...
หมอบอกเธอว่าโรคมะเร็งที่เธอเป็นอยู่ จะทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานนัก..เธอไม่กล้าที่จะบอกเรื่องนี้กับแม่ ซึ่งทำงานหนักมาทั้งชีวิต โดยที่ทั้งแม่และเธอไม่เคยได้รับการใส่ใจดูแลจากผู้เป็นพ่อเลย...เธอกลัวแม่ของเธอรับไม่ได้..เธอไม่เคยบอกใครถึงสิ่งที่เธอเป็นอยู่...ทางบ้านรับรู้เพียงว่าเธอสุขภาพไม่ดี...
ฉันนั่งนึกถึงแม่ของเธอที่เคยเจอะเจอเมื่อปีก่อน..ผู้หญิงที่ดูเข้มแข็ง..แกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ
แม่เธอบอกเสมอว่า ที่ท่านอยู่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเธอ..เธอเป็นกำลังใจในการต่อสู้และการดำเนินไปของชีวิต...
แม่เธอจะรับได้ไหม ถ้าวันหนึ่งรู้ว่า.กำลังใจของแม่กำลังจะจากไป...
ฉันรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่เธอได้รับจากอาการข้างเคียงของโรคผ่านตัวหนังสือ
ใน Diary สีน้ำเงิน เธอเขียนไว้ว่า หลายต่อหลายครั้งที่เธอร้องไห้และคิดถึงเพื่อนอย่างฉัน ยิ่งช่วงท้ายๆของ Diary ฉันได้เห็นชื่อของฉันบ่อยครั้งขึ้น...บ่อยมากจนรู้สึกว่าเวลานั้นเธอคงอยากให้ฉันอยู่ใกล้ๆเธอจริงๆ
แต่เธอไม่เคยโกรธ ที่ฉันห่างหายมาอย่างนี้ เธอบอกว่าเธอรู้ข่าวคราวและความเป็นไปของฉันตลอดจากเพื่อนอีกคน
เธอรู้ว่าฉันเองก็มีเรื่องทุกข์ใจที่ต้องเผชิญอยู่เช่นกัน เธอจึงไม่เคยเรียกร้องจะให้ฉันไปอยู่ข้างเธอ ยามนี้ฉันอ่าน diary สีน้ำเงินเล่มนี้จนจบ..ข้อความท้ายๆของ Diary คล้ายจะเป็นการสั่งเสีย..เหมือนเธอรู้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับเธอ
แต่เธอกำลังต้องการเพื่อนสักคนในเวลานี้และคนๆนั้นก็คือฉัน..
หากเธอมองฉันผ่านมิตรภาพของความเป็นเพื่อน ฉันก็คงเป็นได้แค่เพียงเพื่อน
แล้วฉันก็พบข้อความนี้อีกครั้ง...มันเป็นข้อความสุดท้ายใน Diary สีน้ำเงิน เล่มนี้..ฉันอ่านมันจนจบ พร้อมกับปิดมันลงด้วยความรู้สึกผิด...
นานแค่ไหนแล้วที่ฉันทำเพื่อนคนหนึ่งหายไปกับกาลเวลา
นี่ฉันเป็นเพื่อนชนิดไหนกันนี่ ยามที่เธอต้องการฉัน ฉันกลับห่างหายมาอย่างนี้
ฉันขอโทษ..ขอโทษจริงๆและสัญญา..พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปเป็นเพื่อนที่ดีที่ดีของเธอเหมือนก่อน
กลับไปอยู่ข้างๆเธอ..ยามที่เธอต้องการเพื่อนสักคน..แล้วพรุ่งนี้ฉันจะรีบไปหาเธอแต่เช้า..
กลับไปทำหน้าที่ของเพื่อนที่พึงทำให้เพื่อน..ฉันสัญญา... เธอคงกำลังรอฉันอยู่...
วันนี้ฉันมาพบเธอที่บ้าน..แต่สิ่งที่ฉันพบ..คือร่างของเธอที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงหน้า...พบแม่ของเธอที่กำลังร้องไห้อยู่แทบขาดใจ แม่โผเข้ากอดฉันเหมือนกำลังจะบอกว่าเธอไปแล้ว..เธอจากไปแล้ว...
ฉันมาช้า...มาช้าไปจริงๆ ฉันมาไม่ทันลมหายใจสุดท้ายของเธอด้วยซ้ำ..
แม่เล่าให้ฉันฟัง หลังจากงานศพของเธอผ่านไป..
แม่เล่าว่าเธอ มักจะพูดคุยเธอมักจะพูดคุยเรื่องราวของฉันให้แม่เธอได้รับรู้เสมอ..
เมื่อไหร่ที่เธอได้รับรู้ว่าฉันกำลังทุกข์ก็ดูเหมือนเธอกำลังทุกไปกับฉันด้วย
แม่เคยบอกให้เธอมาหาฉัน แต่เธอปฏิเสธ เพราะเธอไม่อยากให้ฉันเห็นเธอในสภาพก่อนที่เธอจะจากไป
เธอกลัวฉันจะเป็นห่วงเป็นกังวลไปกับเรื่องของเธอ แม่เธอบอกว่าเธอเป็นห่วงฉันมาก
แม้กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต..เธอยังบอกกับแม่เธอว่า.. ถ้าฉันมาที่บ้านแสดงว่าฉันคงไม่ค่อยสบายใจ..รู้สึกแย่กับชีวิต..ฉันถึงพาตัวเองมาหาทะเล..มาหาเพื่อนอย่างเธอ...เธอฝากให้แม่ดูแลฉันแทนเธอด้วย..
น้ำตาของฉันยังคงอาบแก้ม..ขอบคุณ ขอบคุณสำหรับทุกๆความห่วงใยที่มีให้กันเสมอ กระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเธอ..
ทะเลหน้าบ้านเธอที่ฉันเคยบอกว่าเป็นทะเลที่สวยที่สุด..วันนี้มันดูเศร้าไปถนัดตา...
หลับให้สบายเถอะเพื่อน ฉันจะไม่มีวันลืมเพื่อนอย่างเธอไปได้เลย.. ฉันสัญญา ..
วันนี้ฉันนั่งสำรวจตัวเองอีกครั้งพร้อมกับถามตัวเองว่า .. ฉันทำใครหล่นหายไปกับกาลเวลาอีกไหม...แล้วถ้าฉันพบว่ามี..ฉันจะรีบกลับไปทวงถามให้เค้ากลับมาด้วยความรู้สึกดีๆ...และจะพยายามอย่างที่สุดที่จะรักษาเค้าไว้กับฉันตลอดไป..
อ่านจบแล้ว..อย่านะ..อย่าแอบร้องไห้คนเดียว..
"อันเพื่อนดีมีหนึ่งถึงจะน้อย ดีกว่าร้อยเพื่อนคิดริษยา
เหมือนมีเกลือนิดหน่อยด้อยราคา ดีกว่าค่าน้ำเค็มเต็มทะเล"
ลองทบทวนดูว่าคุณลืมสิ่งใดไปบ้าง....ระหว่างมิตรภาพของคำว่า " เพื่อน "

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม