วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จอมโกหก

มีเด็กวัดอยู่สองคน โกหกชั้นหนึ่งไม่มีใครจับได้ วันหนึ่งทั้งสองคนได้ไปอาบน้ำที่ท่าน้ำแห่งหนึ่ง และได้ตกลงกันว่า ถ้าใครโกหกได้ดีกว่าจะมีรางวัลให้
คนหนึ่งกระโดดลงไปในแม่น้ำโดยได้อมเหรียญห้าบาทลงไปด้วยพอโผล่ขึ้นมาก็บอกแก่เพื่อนว่า
“เฮ้ย! ฉันดำน้ำลงไปเจอพญานาคกำลังเล่นไพ่กันอยู่ฉันยังขอเหรียญห้าบาทมาหนึ่งเหรียญเลย”
เพื่อนอีกคนหนึ่งรู้ว่าโกหกแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยโดดลงไปในน้ำด้วยความโมโห หัวเลยไปชนตอหัวแตกพอโผล่ขึ้นมาก็บอกแก่เพื่อนว่า
"เฮ้ย! ฉันโดดลงไปในน้ำโชคไม่ดีเลย ท่านพญานาคกำลังเล่นไพ่เสีย เลยตีหัวข้าแตก แล้วบอกว่าให้ฉันมาเอาเงินที่แกครึ่งหนึ่งไปซื้อยา"

ทำไมช้างตาเล็กเสือมีลาย

ยังมีเสือหนุ่มตัวหนึ่งดุร้ายมาก วันหนึ่งมันออกไปหากินตามปรกติ ขณะที่มันสอดส่ายสายตาหาเหยื่ออยู่นั้น มันก็แลเห็นช้างตัวหนึ่งกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ มันจึงวางแผนที่จะจับช้างให้ได้ แล้วเสือก็เดินตรงไปหาช้างทันทีฝ่ายช้างเมื่อเห็นเสือเดินตรงมาหามันเช่นนั้น ครั้นจะวิ่งหนีไปก็ไม่ทัน จึงทำใจดีสู้เสือ แล้วพูดกับเสือไปว่า"สวัสดี เจ้าเสือผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจะไปไหนหรือ""ข้าก็จะมาจับเจ้าไปเป็นอาหารนะสิ" เสือตอบ"ช้าก่อนเจ้าเสือร้าย เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นอิสระแล้ว ข้าเป็นเชลยเขาอยู่" ช้างพูด"พุทโธ่เอ๋ย อย่ามาหลอกข้าเสียให้ยากเลย เจ้าตัวใหญ่ออกอย่างนี้ใครจะกล้ามาจับเจ้าเป็นเชลยได้ นอกจากข้าเจ้าป่าผู้ยิ่งใหญ่""นี่ไงเจ้าเห็นมั้ย ขาของข้าถูกล่ามโซ่อยู่กับต้นไม้นี้ ก็เพราะข้าตกเป็นเชลยของมนุษย์"ช้างพูดพร้อมยกขาที่ถูกล่ามโซ่ให้เสือดู"อะไรกันมนุษย์ตัวเล็กนิดเดียว ยังจับเจ้าล่ามโซ่ได้หรือ" เสือถามอย่างสงสัย"ก็ใช่นะซิ มนุษย์ตัวเล็กๆนี่แหละ ถึงจะไม่มีเขี้ยวเล็บ ไม่มีเขาหรืองา แต่มนุษย์นั้นมี "ปัญญา" ช้างตอบยืนยันเสือพอได้ยินช้างพูดถึงคำว่า "ปัญญา" ก็สนใจ จึงถามช้างขึ้นว่า"อ้ายตัวปัญญาของมนุษย์มันวิเศษแค่ไหนเชียว ถ้าข้าเจอละก็จะจับกินเสียให้เข็ด""ปัญญาของมนุษย์ก็อยู่ที่ตัวมนุษย์ซิเจ้าเสือเอ๋ย ถ้าเจ้าอยากเห็นจริงๆ ละก็ รีบแก้โซ่ที่ผูกขาข้าออกซิ แล้วข้าจะพาเจ้าไปดู""ได้เลย" เสือพูดแล้วตรงเข้าไปแก้โซ่ที่ผูกขาช้างออก แล้วช้างก็เดินนำหน้าเสือ มุ่งสู่บ้านมนุษย์ทันทีเมื่อถึงบ้านมนุษย์แล้ว ช้างก็ตะโกนเรียกมนุษย์ให้ออกมาพบข้างนอก ฝ่ายมนุษย์ไม่รู้ว่าใครมาเรียก ก็ออกมาจากบ้านโดยที่ไม่ได้ระวังตัวทันใดนั้น เสือซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว จึงตะครุบตัวมนุษย์ไว้ในกรงเล็บอย่างง่ายดายมันหัวเราะเยาะด้วยเสียงอันดัง ที่สามารถเอาชนะมนุษย์ผู้พิชิตช้างได้ เสือจึงหันไปพูดกับช้างว่า"เจ้าช้าง ไหนเจ้าว่ามนุษย์มีปัญญาเก่งกล้า ยังไม่ทันได้ต่อสู้เลย ข้าก็จับมันได้แล้วและข้าจะกินมันเสียเดี๋ยวนี้แหละ"มนุษย์เมื่อได้ยินเสือพูดอวดตัวเช่นนั้น ก็ใช้ปัญญาของตนต่อสู้กับเสือทันที โดยพูดกับเสือว่า"ช้าก่อนเจ้าเสือ ถ้าเจ้ากินข้าตอนนี้ เจ้าก็จะไม่มีโอกาศเห็นตัวปัญญาของข้าเลย"เสือได้ยินดังนั้นก็หยุดชะงัก แล้วถามมนุษย์ไปว่า"ไหนละตัวปัญญาของเจ้า ก่อนตายเอาออกมาอวดข้าหน่อยเป็นไง""ได้ซิ ถ้าเจ้าอยากดู แต่ตัวปัญญาของข้าอยู่ในบ้าน ถ้าอยากเห็น เจ้าต้องปล่อยข้าไปข้าจะได้ไปจูงมันออกมาให้เจ้าดู"ฝ่ายเสืออยากเห็นตัวปัญญาเป็นหนักหนา จึงหลงกลปล่อยมนุษย์ไปมนุษย์เมื่อถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว ก็วางแผนจัดการกับเสือ โดยพูดขู่เสือไปว่า"ระวังนะเจ้าเสือ ตัวปัญญาของข้ามันตกใจง่าย ถ้ามันเห็นเจ้าเข้า มันจะวิ่งหนีเข้าบ้านแล้วจะไม่ยอมออกมาอีกเป็นเด็ดขาด""แล้วเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร" เสือถาม"ไม่ยาก เจ้ามาให้ข้าจับมัดไว้กับต้นไม้เสียก็สิ้นเรื่อง" มนุษย์เสนอความคิด"ตกลง" เสือตอบมนุษย์ก็จัดการมัดเสือไว้กับต้นไม้ แล้วก็เดินเข้าบ้านไป และออกมาพร้อมกับหวายในมือเสือเห็นมนุษย์ถือหวายออกมาก็แปลกใจ จึงถามว่า"ไหนละตัวปัญญาของเจ้า ไม่เห็นจูงออกมาให้ข้าดู"มนุษย์ชูหวายขึ้นแล้วพูดว่า "นี่ไงละตัวปัญญาของข้า""อ้ายนั่นมันหวาย จะเป็นตัวปัญญาได้อย่างไร" เสือแย้ง"นี่แหละตัวปัญญาของข้าอ้ายเสือหน้าโง่ เจ้ามันอวดเก่งนัก ข้าจะสั่งสอนให้รู้สำนึกเสียบ้าง"พอมนุษย์พูดขาดคำ ก็หวดเสือด้วยหวายอย่างมันมือ จนนับครั้งไม่ถ้วนฝ่ายช้างที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ก็หัวเราะด้วยความชอบใจเพราะด้วยปัญญาของมนุษย์ มนุษย์ไม่เพียงรอดชีวิต มันเองก็รอดชีวิตด้วย ช้างหัวเราะใหญ่หัวเราะเสียจนน้ำตาไหลพรากอาบแก้ม ดวงตาของช้างเลยเล็กลง เล็กลง เหลือเท่าที่เห็นจนทุกวันนี้ซึ่งไม่สมกับตัวของมันเลย ก็เพราะหัวเราะมากนั่นเองฝ่ายเสือเมื่อถูกโบยด้วยหวาย ก็เจ็บปวดแสนสาหัส ดิ้นทุรนทุรายไปมาจนเชือกขาดมันจึงวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต จนถึงบัดนี้เสือก็ยังไม่รู้ว่า ปัญญาของมนุษย์คืออะไรเสือเดินโซซัดโซเซ ไปขอความช่วยจากสัตว์ในป่าให้ช่วยรักษารอยแผลจากการถูกโบยด้วยหวายแต่ไม่มีสัตว์ใดช่วยเหลือ มีแต่สมน้ำหน้า เพราะเสือได้รังแกสัตว์อื่นไว้มากนั่นเอง ตัวของเสือจึงมีแผลเป็นและกลายเป็นลายให้เห็น มาจนทุกวันนี้

อย่าทะนงหลงว่าเราเองเก่งกว่าคนอื่น เพราะอาจมีคนเก่งกว่าเราก็ได้และเมื่อนั้นเรานั่นแหละจะอับอายขายหน้าคนอื่นๆเขา จนมองหน้าใครไม่ได้

ศิลปะในการขอทาน

ชายคนหนึ่งขับรถเข้าไปในเมืองซึ่งเป็นเวลาพลบค่ำ ขณะที่ขับรถมานั้นเขาสังเกตุเห็นหญิงชราคนหนึ่งกำลังถือตะเกียงเดินก้มๆ เงยๆอยู่ เหมือนจะหาอะไรในพงหญ้าข้างถนนนั้นด้วยความสนใจ เขาจึงหยุดรถแล้วเดินตรงเข้าไปถามหญิงชรานั้นว่า"นี่ยาย ยายกำลังก้มหาอะไรอยู่หรือ""อ๋อ...ยายกำลังหาเหรียญบาทที่ทำตกลงไปในพงหญ้านี้ ยายหามาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วหาเท่าไรก็หาไม่เจอสักที พ่อหนุ่มจะช่วยยายหาหรือ" หญิงชราพูด
ด้วยความสงสารชายหนุ่มจึงควักเงิน 10 บาทออกมา แล้วยื่นให้แก่หญิงชราพร้อมกับพูดขึ้นว่า "เอาเงิน 10 บาทนี้ไปก็แล้วกันนะยาย เหรียญบาทคงหาไม่เจอแล้ว"เมื่อรับเงินจากชายหนุ่ม หญิงชรากล่าวขอบใจแล้วก็ดับตะเกียงจากไปชายหนุ่มคนนั้นก็ขับรถเข้าไปทำธุระในเมือง เมื่อทำธุระเสร็จแล้วเขาก็ขับรถออกมาตามเส้นทางเดิม เขาประหลาดใจมากที่ได้เห็นหญิงชราคนหนึ่ง กำลังจุดตะเกียงส่องหาอะไรบางอย่างในพงหญ้าข้างถนน ด้วยความสงสัยเขาจึงหยุดรถแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆเขาก็จำได้ทันทีว่า หญิงชราคนนี้ ก็คือหญิงชราคนเดิมที่เขาให้เงินไป 10 บาทเมื่อตอนหัวค่ำนั่นเอง เขาจึงถามหญิงชรานั้นว่า "นี่ยาย...ยายทำเงินตกหายอีกแล้วรึ"หญิงชราเงยหน้าขึ้น ก็จำชายหนุ่มผู้ใจดีคนนี้ได้ จึงตอบไปว่า"ใช่แล้วหลาน...แต่หลานชายไม่ต้องควักเงินให้ยายอีกนะ""ทำไมละยาย" ชายหนุ่มสงสัย"นี่มันเป็นกลวิธีในการขอทานที่ได้ผลดีที่สุด...ขอบใจสำหรับเงิน 10 บาทนะหลานเอ๊ย"พูดจบหญิงชราก็เดินจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มมึนงงอยู่ตรงนั้นเอง
" ทุกอาชีพต่างก็มีกลวิธีในการทำมาหากินของตนเองแล้วแต่ใครจะใช้ช่องทางใด แต่ก็ควรใช้วิธีที่สุจริต...นะจ๊ะ นะจ๊ะ

หัวขโขย

เช้าวันที่อากาศสดใส เด็กหนุ่มคนหนึ่งขณะอาบน้ำในคลอง โดยถอดเสื้อผ้าไว้ที่ริมตลิ่ง ขณะที่กำลังดำผุดดำว่ายอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น ได้มีชายคนหนึ่งแอบเข้ามาขโมยกางเกง และเสื้อไปหมด เด็กหนุ่มคนนั้นมีความแค้นใจ และเสียใจยิ่งนัก และคิดจะเอากางเกง และเสื้อของตนคืนมาให้ได้
วันหนึ่งเห็นชายหัวขโมย ใส่เสื้อผ้าที่ขโมยมา เดินผ่านมา เด็กหนุ่มก็จำได้ จึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่ขอบสระนั้นขโมยเห็นเข้าจึงเข้ามาถามว่า พ่อหนุ่มมานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ทำไม?
เด็กหนุ่มตอบว่า "ฉันทำสร้อยคอตกน้ำจ้ะพี่ ทองคำหนักตั้ง 5 บาท กลับบ้านพ่อคงตีฉันตาย"
ขโมยถามว่า "ทำไมไม่ลงงมล่ะ"
"ฉันว่ายน้ำไม่เป็น" เด็กหนุ่มตอบ
ขโมยเห็นโอกาสจะตบตาเด็กเอาสร้อยคอมาได้เหนาะๆ เช่นนั้น จึงบอกแก่เด็กหนุ่มว่า "เอาละ ข้าสงสารเอ็งจะลงงมให้ เอ็งคอยอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน"
"ขอบคุณท่านมากทีเดียว นึกว่าช่วยเหลือฉันสักที ฉันจะไม่ลืมบุญคุณเลย"
ขโมยรีบถอดเสื้อผ้ากองไว้ที่ขอบสระ แล้วกระโจนลงน้ำโครมไม่รีรอ
ขณะที่กำลังดำอยู่ก้นสระนั้นเด็กหนุ่มได้ทีจึงรีบฉวย เสื้อ กางเกงของตัวกลับคืน แล้วหนีไป
(อย่างนี้เรียกว่า เกลือจิ้มเกลือ)

เด็กกำพร้าเรียนมนต์ตด

ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่งมีเด็กน้อยกำพร้าอยู่คนหนึ่ง ญาติพี่น้องไม่มีใครสนใจเขาจึงต้องเที่ยวเร่ร่อนขอทานตามหมู่บ้านต่างๆ พอได้กินไปวันๆ หลวงพ่อที่วัดแห่งหนึ่งสงสารจึงรับเลี้ยงไว้เป็นลูกศิษย์ในวัดในสมัยนั้นเด็กผู้ชายจะต้องออกจากบ้านไปหาเรียนวิชา แล้วแต่ใครต้องการเรียนอะไรหลวงพ่อก็สั่งท้าวกำพร้าให้ไปเรียนวิชาเช่นกัน โดยก่อนไปได้กำชับว่า"เรียนอะไรก็เรียนให้จบ และอยากเรียนอะไรก็ให้เลือกเรียนได้ตามใจชอบหลวงพ่อไม่ว่าอะไร"ณ สำนักเรียนที่มีอาจารย์เก่งทางวิชาอาคม เวทมนตร์ต่างๆ เปิดสอนให้กับผู้คนทั่วไปโดยเฉพาะคนหนุ่มๆนิยมไปเรียนกันมาก หลายคนเลือกเรียนวิชาตามใจชอบ แต่ท้าวกำพร้ากลับเลือกเรียนในวิชาที่ไม่มีใครเรียนกัน นั่นคือ "วิชามนต์ตด" เขาเพียรพยายามเรียนจนจบตามที่หลวงพ่อสั่งไว้ว่าเรียนอะไรก็เรียนให้จบข่าวการเรียนมนต์ตดได้ยินไปถึงหูของญาติพี่น้องของเขา ยิ่งเพิ่มความจงเกลียดจงชังมากขึ้น"เรียนอะไรไม่เรียนไปเรียนมนต์ตด ไม่ต้องเรียนมันก็ตดอยู่แล้ว ไปเรียนให้เสียเวลาทำไม"ญาติคนหนึ่งบ่น
อันตัวข้าพเจ้ามีนามกรว่า...ท้าวกำพร้าได้ศึกษาวิชา...มนตราว่าด้วยตด...ทั้งตดยาว...ตดสั้นตดไปข้างหน้า...ตดมาข้างหลัง...ตดลอยสูง...ตดลอยต่ำตดควบคุมเสียง...ตดเสียงสูง...เสียงต่ำ...ตดดัง...ตอค่อยตดไร้เสียง.....................................................................................................................................................ตดควบคุมกลิ่น...ทั้งกลิ่นหนา...กลิ่นบาง...ตดสร้างมิตร...เสน่ห์ยาแฝด...ตดใส่หญิง หญิงรัก...ตดใส่ชาย ชายหลง....ตดใส่ตุ๊ด ตุ๊ดเป็นลม...เอ้ยไม่ใช่...หลงคารม.................ตดกลิ่นทำลายมิตรภาพ...........ตดพิฆาตศัตรูพ่าย................................................เมื่อศึกษาจนแตกฉานคิดทำการณ์สิ่งใด ก็สำเร็จดังประสงค์
พอเรียนจบเขากลับมาหาหลวงพ่อและเล่าเรื่องราวการเรียนให้หลวงพ่อฟังหลวงพ่อไม่ว่าอะไรได้แต่ให้กำลังใจว่า "ใครจะว่าอะไรก็อย่าไปสนใจ วิชาอะไรทุกอย่างมันมีคุณทั้งนั้น ขอให้รักษาวิชาตดไว้ให้ดีบางทีเราอาจได้อาศัย"อยู่มาวันหนึ่งมีเรือสำเภาขนาดใหญ่ขนสัมภาระเพื่อไปจำหน่ายมากมายพอไปถึงหมู่บ้านนั้นเกิดไปติดหาดทรายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จ้างคนทั้งหมู่บ้านลากเข็นก็ไม่ไป พอดีเท้ากำพร้าเดินไปพบเข้าจึงพูดออกไปว่า"เรือติดแค่นี้ ไม่ต้องทำอะไรมากเลย เพียงแค่ตดใส่เท่านั้นก็ออกได้แล้ว"นายสำเภาได้ยินดังนั้นก็โกรธแค้นมาก คิดว่าท้าวกำพร้าพูดสบประมาท"ข้าจ้างคนทั้งหมู่บ้านยังลากออกไม่ได้ เอ็งเก่งมาจากไหนจะมาตดใส่ให้สำเภาออกได้"พอพูดจบนายสำเภาก็สั่งลูกน้องให้จับตัวท้าวกำพร้าไว้ ฐานพูดจาดูหมิ่น"ช้าก่อนท่าน" ท้าวกำพร้าชิงพูดขึ้น "ข้ายังไม่ทันตดให้ดูเลย ทำไมท่านถึงคิดว่าทำไม่ได้ต้องพิสูจน์กันก่อนซิ ถ้าข้าตดแล้วสำเภาออกไปได้ ท่านจะยอมให้สินค้าทั้งหมดบนเรือแก่ข้าไหม""ตกลง ถ้าสำเภาเคลื่อนไปได้ ข้าจะยกสินค้าในสำเภาให้เอ็งหมด แต่ถ้าเคลื่อนไม่ได้เอ็งจะต้องถูกฆ่าตาย" นายสำเภาตกลงและต่อรองเมื่อตกลงดังนั้นแล้ว ท้าวกำพร้าจึงยกมือเหนือหัวแล้วอธิษฐานถึงครูบาอาจารย์เสร็จแล้วจึงเบ่งตดออกมาเสียงดัง "ป็าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาด"ทุกคนตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาที่สำเภาได้ค่อยๆเคลื่อนออกจากหาดทรายนายสำเภาดีใจมาก จึงได้มอบสินค้าทุกอย่างที่มีบนเรือ ให้หนุ่มน้อยไปตามสัญญาจากนั้นท้าวกำพร้าก็มีฐานะร่ำรวย ไม่อดอยากอีกต่อไป
จบบริบูรณ์

อยากอยู่กระท่อมสูง

มีผัวเมียคู่หนึ่ง เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ พ่อแม่ก็ให้ไปปลูกกระท่อมอยู่กันที่ปลายนา เพื่อคอยดูแลข้าวปลาที่ทำไว้แล้ว และกำลังงาม เกรงว่าวัว ควาย นก หนู จะมากัดกินข้าวเสียหาย
ผัวเมียทั้งสองก็มิได้ขัดข้องหรือรังเกียจเกี่ยงงอนแต่ประการใด เมื่อพ่อแม่ให้ไปก็ไป เมื่อไปถึงก็ช่วยกันปลูกกระท่อมด้วยไม้ไผ่ และพยายามปลูกให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เพราะไม่ต้องการให้น้ำท่วม
ผัวจึงไปตัดไม้ไผ่เอามาทำเสากระท่อม ตัดมามากมายก่ายกองเหลือประมาณ ปลูกกระท่อมจนเสร็จ กระท่อมนั้นนับว่าสูงที่สุดเลยทีเดียว
ครั้นเสร็จแล้วก็ขึ้นไปอยู่กัน นอนหลับสบายทั้งคืน จนรุ่งเช้าผัวตื่นขึ้นไม่เห็นเมียก็ตกใจ มองหาจนทั่วก็ไม่เห็นเมีย ผัวสงสัยคิดว่าเมียตกกระท่อม จึงก้มลงไปดูข้างล่าง เห็นเมียตกกระท่อม ร่างของเมียยังลอยอยู่ยังไม่ถึงพึ้น ยังสูงอีกมาก แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตกถึงพื้นดิน เลยยังไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไร...
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้:
การทำอะไรเกินพอดี อาจเกิดโทษภัยต่างๆ ขึ้นได้ฉะนั้นควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนทำ และควรทำแต่พอดี (จากนิทานพื้นบ้าน สำหรับเด็ก และ

พยานให้การ

เมื่อนายทุยแกจะไปให้การเป็นพยานที่ศาลนั้น แกได้ตระเตรียมคำพูดไปอย่างดี ด้วยเกรงจะถูกหาว่าเป็นพยานเท็จ พอเข้าสู่คอกพยาน ศาลก็ถามว่า
"ชื่ออะไร"
"อ้า..อ้า..เกล้าชื่อว่าอ้ายทุย"
ศาลถาม "อายุเท่าไหร่"
"ก็เกิดปีจอ..ก็ 42 ปีครับ" พยานตอบ
ศาลถาม "เป็นอะไรกับจำเลย"
พยาน "เป็นพยานจำเลยครับ"
ศาล "รู้แล้วว่าเป็นพยาน ต้องการรู้ว่า เป็นญาติโยมอะไรกันหรือเปล่า"
พยาน "เมื่อเขาบวช เขาเรียกผมว่าโยม จนกระทั่งสึกออกมาก็ยังเรียก โยม ตลอดมา"
ศาล "แล้วเป็นญาติกันหรือเปล่า"
พยาน "เอ..ญาติ หมายความว่าอย่างไรครับ"
ศาล "เป็นพี่น้องกันหรือเปล่า"
พยาน "เปล่าครับ"
ศาล "เออ เท่านั้นเอง ถามเกือบตาย"
พยาน "ครับผมก็ตอบเกือบตายเหมือนกัน"
ศาล "แล้วแกทำอะไรกินล่ะ"
พยาน "เมื่อเช้า ตำน้ำพริกจิ้มผักบุ้ง อร่อยไปเลยครับ กลางวันนี้ว่าจะ แกงปลาไหล"
ศาล "เปล่าๆ ศาลถามว่าแกนะมีอาชีพอะไร"
พยาน "อาชีพของผมที่เป็นล่ำเป็นสันจริงๆ ก็คือการประมงครับ
ศาล "เออ แกก็ดี มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน จับโป๊ะลงอวน ได้ของทะเลทีละมากๆ หละสิ"
พยาน "เปล่าครับ..ผมเที่ยวช้อนลูกน้ำขายให้ร้านตู้ปลา"
ศาลถึงกับหงานหลังผึ่งพิงพนักเก้าอี้!!

เหลือเชื่อ

มีผัวเมียคู่หนึ่ง เพิ่งจะแต่งงานกันใหม่ๆ พ่อแม่ก็ให้ไปปลูกกระท่อมอยู่กันที่ปลายนาเพื่อคอยดูแลข้าวปลาที่ทำไว้แล้ว และกำลังงาม เกรงว่าวัวควายนกหนูจะมากัดกินข้าวเสียหายผัวเมียทั้งสองก็มิได้ขัดข้องหรือรังเกียจเกี่ยงงอนแต่ประการใดเมื่อพ่อแม่ให้ไปก็ไป เมื่อไปถึงก็ช่วยกันปลูกกระท่อมด้วยไม้ไผ่และพยายามปลูกให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เพราะไม่ต้องการให้น้ำท่วมผัวจึงไปตัดไม้ไผ่เอามาทำเสากระท่อม ตัดมามากมายก่ายกองเหลือประมาณปลูกกระท่อมจนเสร็จ กระท่อมนั้นนับว่าสูงมาก สูงที่สุดเลยทีเดียวครั้นเสร็จแล้วก็ขึ้นไปอยู่กัน นอนหลับสบายทั้งคืนจนรุ่งเช้าผัวตื่นขึ้นไม่เห็นเมียก็ตกใจ มองหาจนทั่วก็ไม่เห็นเมียผัวสงสัยคิดว่าเมียตกกระท่อม จึงก้มลงไปดูข้างล่างเห็นเมียตกกระท่อมร่างของเมียยังลอยอยู่ยังไม่ถึงพื้น ยังสูงอีกมากแล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตกถึงพื้นดิน

นึกว่าง่าย

คนไทยกับคนลาวเป็นเพื่อนกัน คนไทยมีเรืออยู่ลำหนึ่งวันหนึ่งเกิดน้ำท่วมคนลาวนั่งไปกับเรือของคนไทย โดยคนลาวนั่งอยู่หัวเรือคนไทยนั่งอยู่ท้ายเรือ และเป็นคนพายเรือไปเมื่อพายเรือไปได้สักพักหนึ่ง เรือก็รี่ตรงไปจะชนต้นไม้ คนลาวตกใจกลัวก็บอกว่า"ซ้ายหน่อยๆ" คนไทยก็พายงัดเล็กน้อย เรือก็ไม่ชนต้นไม้ พายรอดไปได้เมื่อพายต่อไปเรือก็รี่ตรงไปจะชนบ้าน คนลาวเห็นดังนั้นก็ตกใจ ร้องบอกว่า"ขวาหน่อยๆ" คนไทยก็พายงัดเล็กน้อย เรือก็รอดไปได้โดยไม่ชนบ้านเจ้าคนลาวเลยเกิดสงสัยจึงถามเจ้าคนไทยว่า "นี่เรือของแกทำด้วยอะไรนะถึงว่าง่ายอย่างนี้""ทำด้วยไม้ตะเคียนนะซิ" คนไทยตอบคนลาวเมื่อกลับถึงบ้านก็บอกกับเมียว่า "นี่น้องไม้ตะเคียนนี่ว่าง่ายจังพี่อยากจะขุดเรือจากไม้ตะเคียนสักลำ ที่ข้างบ้านเรามีไม้ตะเคียนอยู่ต้นหนึ่งเดี่ยวพี่จะโค่นมาขุดทำเรือนะ"เมียก็บอกว่า "มันจะทับบ้านพังนะพี่""ไม่ทับหรอก ไม้ตะเคียนมันว่าง่ายจะตาย" ฝ่ายผัวอธิบายสรรพคุณของต้นตะเคียนว่าแล้วคนลาวก็คว้าขวานไปฟันต้นตะเคียนทันที ฟันไปๆจวนจะขาดมันก็ค่อยๆเอนลงจะทับบ้าน คนลาวก็ยืนโบกมือร้องตะโกนไปว่า "ซ้ายหน่อยๆ"ต้นตะเคียนก็ล้มโครมลงทับหลังคาบ้านพังไปเรียบร้อย เจ้าคนลาวก็คิดบ่นในใจว่า"เอ๊ะ! ต้นตะเคียนบ้านเรานี่ มันทำไมถึงดื้อจัง ไม่เหมือนต้นตะเคียนของคนไทยเลย ว่าง่าย

คนขี้ลืม

มีชายคนหนึ่งเป็นคนขี้ลืม ขี้ลืมจริงๆ เรื่องอะไรจำได้ประเดี๋ยวเดียวแล้วก็ลืมหมดเขาจะทำอะไรไม่ได้เลย
วันหนึ่งชายขี้ลืมคนนี้ถือมีดเข้าไปในป่าเพื่อจะไปตัดต้นไม้ เดินทางไปได้สักพักหนึ่ง เกิดปวดอุจจาระ จึงเอามีดฟัดติดกับต้นไม้ไว้ แล้วก็หาที่หลบไปถ่ายอุจจาระ

พอถ่ายอุจจาระเสร็จก็เดินออกมา เห็นมีดเล่มหนึ่งอยู่ที่ต้นไม้ เขาลืมไปว่าเป็นมีดของตัวเอง
เขาดีใจมากจึงรีบวิ่งไปคว้ามีดมาถือไว้ แล้วจับมีดชูขึ้นพลางเต้นไปรอบๆแล้วพูดว่า “วันนี้โชคดีแต่เช้าเลยมีดของใครก็ไม่รู้ยังใหม่อยู่ ลับเอาไว้คมกริบทีเดียวเจ้าของมีดนี้แย่มาก ของดีๆ อย่างนี้มาลืมไว้ได้ อ้ายคนไม่รู้จักรักษาของ คนอย่างนี้ทำมาหากิน อะไรมีแต่จะล่มจม”
เผอิญเขาเดินไปเหยียบเอาอุจจาระที่ตนเองถ่ายไว้เมื่อครู่นี้เข้า ลืมว่าเป็นของตัวเองจึงตะโกนด่าขึ้นว่า
“อ้ายคนอุบาทว์ที่ไหนมาถ่ายไว้ได้ ที่ทั้งป่ากว้างใหญ่มาทำโสโครกเอาไว้ตรงนี้เอง อ้ายมนุษย์อัปรีย์”
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :ขึ้นชื่อว่าคนขี้ลืมแล้ว มักจะลืมได้ทุกอย่าง ฉะนั้นจงทำอะไรด้วยความมีสติเสมอ(จากนิทานพื้นบ้านชุด ขำขัน

หนูกัดเหล็ก

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งมีลูกชายเป็นคนไม่รักดี ได้แต่ใช้จ่ายทรัพย์เที่ยว กิน เล่น เลี้ยงเพื่อนฝูง ไม่นึกทำมาหากิน พ่อแม่จะว่ากล่าวตักเตือนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง
ในที่สุดเศรษฐีก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนตายได้เอาเงินกับทองใส่ตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้ และด้วยความดีที่ได้กระทำมา ส่งผลให้เศรษฐีไปเกิดเป็นเทวดา
ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อพ่อแม่ตายแล้วก็ยิ่งกำเริบ ใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเที่ยวเตร่เสเพล ไม่นานเงินก็หมด เพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังก็หายหน้าไปทีละคน
อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนชวนไปกินเลี้ยงกันตามเคย โดยสั่งลูกเศรษฐีตกยากว่าถ้าคิดจะไปกินเลี้ยง ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยหนึ่งตัวลูกเศรษฐีอยากกินเลี้ยงมาก ถึงแม้จะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังขวนขวายหาไก่ได้ตัวหนึ่ง จึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขน แล้วผูกห่อใบตองเตรียมที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง
ครั้นเดินมาตามทาง เพราะความเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ข้างทางแล้วม่อยหลับไป บังเอิญมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้นั้น ได้กลิ่นเนื้อโชยมาจากใบตอง จึงบินโฉบลงมาคาบห่อใบตองไป เขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า
พอถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงก็เล่าให้เพื่อนฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลยต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา จึงกุเรื่องแก้เก้อ แถมยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีก
ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บทั้งอายตัดสินใจไม่ร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับบ้านเมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงความหลังที่ตนมั่งมีเงินทอง ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง เสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง
ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกก็อดสงสารเสียมิได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า"นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้านักหนาเรื่องการใช้เงินทองเมื่อยามลำบากยากจน ใครเขาจะมานับถือ พูดจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้ารู้สึกตัวและทำตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วย"
ในฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้ จึงสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปจะเลิกความประพฤติเดิมจะตั้งใจทำมาหากิน เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ให้ใครมาดูถูกได้อีกต่อไปเมื่อเทวดาพ่อแม่ได้รับคำสัญญาจากลูกเช่นนั้นก็พอใจยิ่งนัก เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัวเป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง
พอตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทอง ก็พบจริงตามฝัน จึงนำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ไม่นานก็กลับฟื้นตัวพอมีฐานะขึ้นอีก เพื่อนที่เคยหนีหาย ก็เริ่มกลับมาคบหาเพิ่มขึ้นทุกวัน
ลูกเศรษฐียังจำวันที่เพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืม วันหนึ่งลูกเศรษฐีเห็นได้โอกาสจึงชวนเพื่อนมากินเลี้ยงกันอีกเหมือนเมื่อยังร่ำรวยหนก่อน เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาขณะที่กินเลี้ยงอย่างครึกครื้นเฮฮาอยู่นั้น ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆ เล่มหนึ่งมาให้เพื่อนดูพลางพูดขึ้นว่า
"อัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ แท้ๆ ทิ้งไว้คืนเดียวหนูมากัดเสียจนเหี้ยนหมดเหลือเท่านี้เอง"
เพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินก็รับคำเชื่อตามคำพูด บางคนก็ประสมโรงพูดว่า"จริงเหมือนเพื่อนว่าหนูมันร้ายนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกัน เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด"เพื่อนคนอื่นก็พูดว่า "ใช่ๆ" คนละคำสองคำ

ลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดได้ว่า
"ยามเมื่อเรายากจนคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดไม่มีน้ำหนัก ถึงพูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อแต่เมื่อยามมั่งมีเงินทอง จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จไม่สำคัญ คนย่อมยอมรับเชื่อ

ซี้หิน

มีเทวดาองค์หนึ่ง เหาะลงมายังเมืองมนุษย์ เพื่อต้องการค้นหาบุคคลที่ไม่มีความโลภ และสละแล้วซึ่งกิเลสความอยากได้ใคร่มีในสิ่งต่างๆเมื่อถึงโลกมนุษ์แล้ว เทวดาได้แปลงกายเป็นชายชราและเดินตรงไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แลเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่คนเดียว ชายชราจึงตรงเข้าไปหาแล้ววางก้อนหินขนาดหัวแม่มือ ลงตรงหน้าชายหนุ่มพร้อมใช้นิ้วชี้ของท่านชี้ก้อนหินนั้น และแล้วหินก็กลายเป็นทองคำเหลืองอล่ามในทันที"เอ้า...ข้าให้เจ้า รับไว้ซิ เดี่ยวข้าจะไปธุระต่อ" ชายชราพูดแล้วก็หยิบทองคำยื่นส่งให้แก่ชายหนุ่ม แล้วก็เดินจากไปชายชราเดินลับหลังมาได้สักครู่ ก็เห็นชายหนุ่มคนเดิมวิ่งตามมาพร้อมกับพูดอย่างระล่ำระลักเชิงขอร้องว่า"คุณตาครับ กรุณาช่วยชี้หินก้อนนี้ให้ผมหน่อยได้ไหมครับ"พูดแล้วก็วางก้อนหินขนาดใหญ่ลงตรงหน้าเทวดาที่ปลอมตัวมา"ข้าไม่ชี้ให้เอ็งหรอก เพราะเอ็งมันเป็นคนโลภมาก" พูดแล้วชายชราก็เดินจากไปต่อจากนั้นชายชราก็เดินเข้าไปยังหมู่บ้านอื่นๆ แล้วก็ทำเหมือนเดิมทุกครั้งที่ส่งหินทองคำให้ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาว ลุง ป้า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยายทุกคนจะต้องตามมาขอร้องให้ชายชราชี้หินก้อนโตกว่าเดิมให้เทวดาที่ปลอมเป็นชายชราเห็นแล้วรู้สึกหมดกำลังใจ และคิดว่าคงจะหาใครสักคนที่เป็นผู้ไม่โลภโมโทสันในโลกมนุษย์นี้ไม่ได้เป็นแน่แท้ คิดจะกลับสู่สวรรค์แต่เพื่อให้มั่นใจจึงน่าจะลองดูอีกสักคน เผอิญเหลือบไปเห็นพระฤาษีตนหนึ่งกำลังนั่งบำเพ็ญตบะใต้ต้นไม้จึงเดินตรงเข้าไปหา พลางเอาก้อนหินวางไว้ตรงหน้า แล้วใช้นิ้วชี้ก้อนหินนั้นให้เป็นทองคำแล้วพูดกับฤาษีว่า "ข้าแด่ท่านผู้ทรงศีลข้าขอถวายหินทองคำก้อนนี้แด่ท่าน""อาตมารับไว้ไม่ได้หรอก จงเอาคืนไปเถิด" พระฤาษีตอบพร้อมส่ายหน้าชายชราจึงนำเอาก้อนหินขนาดเขื่องกว่าเดิมมาชี้ให้เป็นทองคำ แล้วถวายแด่ฤาษีคำตอบที่ได้รับก็ยังคงเหมือนเดิมคือ "อาตมารับไว้ไม่ได้หรอก จงเอาคืนไปเถิด"แม้ชายชราจะนำเอาก้อนหินขนาดใหญ่สักเท่าใดก็ตาม มาชี้แล้วส่งให้ก็ได้รับคำปฎิเสธทำให้ชายชรามีกำลังใจขึ้นมาก คิดในใจว่า "พระฤาษีตนนี้แหละ คือผู้ไม่โลภเป็นแน่แท้"ก่อนที่ชายชราจะจากไป ด้วยความสงสัยจึงถามพระฤาษีว่า"เหตุใดท่านจึงไม่รับหินทองคำเหล่านี้ไว้ ท่านไม่อยากได้หรือ""ใช่อาตมาไม่อยากได้ทองคำเหล่านั้นหรอก" พระฤาษีตอบแล้วหยุดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก และจึงพูดต่อ "แต่อาตมาอยากได้นิ้วที่ชี้หินนั้นมากกว่า"เทวดาซึ่งปลอมเป็นชายชราได้ยินพระฤาษีพูดดังนั้นถึงกับนิ่งอึ้งแล้วก็เดิน

ค่าของคน

ในกาลครั้งหนึ่งยังมียายแก่คนหนึ่ง สามีเสียชีวิต ส่วนลูกหลานก็แยกย้ายกันไปอยู่ที่อื่นยายแก่ทำมาหากินอยู่ตัวคนเดียวด้วยความขยันขันแข็งมาตลอด แกเก็บเล็กผสมน้อย ใช้จ่ายอย่างกระเหม็ดกระแหม่ จึงสะสมเงินทองไว้ได้พอสมควร แกจึงไปซื้อไหเก่าใบหนึ่งมาใส่เงินนั้นไว้จะไปไหนก็จะอุ้มไหติดตัวไปด้วย และไม่เคยเปิดไหอวดใครเลยครั้นเมื่อยายอายุมากขึ้นๆ ทำงานอย่างเดิมไม่ไหว ลูก หลาน ซึ่งพากันคิดว่ายายแก่คงจะต้องมีทรัพย์สมบัติมาก จึงพากันมารับยายแก่ไปอยู่ด้วย ยายแก่ก็รู้เท่าทันแต่ก็ทำเฉยเสียช่วยลูกหลานทำงานสุดกำลัง เพื่อไม่ให้ลูกหลานดูถูกได้ว่าเสียข้าวสุกเปล่า หรือเกาะเขากินจนวันหนึ่งแกลงไปดายหญ้าทำสวนอยู่คนเดียว แดดก็จัด แกรู้สึกปวดหลังเป็นกำลังถึงกับล้มฟาดไปไม่รู้ตัว หมดสติอยู่กลางแดดเป็นเวลานานกว่าลูกหลานจะมาพบ และช่วยกันอุ้มเข้าบ้าน เมื่อแกฟื้นขึ้นมาปรากฏว่าแกเป็นอัมพาตพอจะพูดและเคลื่อนไหวได้บ้าง รักษาอยู่เป็นเวลานานก็ไม่ทุเลา แกใช้เงินที่แกสะสมไว้เป็นค่ารักษาจนหมด ลูกหลานทั้งหลายพากันเดาว่ายายแก่คงใช้เงินรักษาจนหมดตัวแล้ว จึงพากันตีตัวออกห่างในที่สุดเพื่อนบ้านแถวนั้นทนไม่ได้จึงผลัดกันมาดูแลยายแก่ แต่ทุกคนก็มีหน้าที่การงานต้องทำจะมาพยาบาลอยู่นานก็ไม่ได้ ยายแก่จึงต้องช่วยตัวเองซะส่วนมาก จะไปถ่ายอุจระก็ไม่ได้ ไหของแกเมื่อเงินทองหมดก็ยังว่างเปล่าอยู่ แกจึงถ่ายอุจระไว้ในไหนั้นทุกวัน แล้วก็ปิดฝาไว้เมื่อมีชาวบ้านมาเยี่ยม แกก็เริ่มคุยอวดชาวบ้านว่าความจริงเงินของแกก็ยังพอจะมีเหลือ"ฉันกันเงินของฉันไว้ส่วนหนึ่ง เอาไว้ตอนเข้าตาจน ไม่เชื่อลองโยกไหดูสิ"ชาวบ้านต่างก็ลองเอามือผลักไหดู ก็เชื่อว่ามีเงินอยู่ในนั้นแน่ พอกลับบ้านต่างคนก็ต่างไปเล่าต่อๆกัน"ยายแก่ แกยังมีเงินเหลืออยู่ไม่น้อยเลย ไหที่ใส่ไว้หนักอึ้งทีเดียว"ความนี้ในที่สุดก็ไปเข้าหูหลานๆของยายแก่ ด้วยความละโมบจึงพากันกลับมาคอยรับใช้ยายแก่อีกต่างคนก็ชิงกันเอาใจยายแก่ เพราะหวังจะครอบครองทั้งทองและเงินในไห ต่อมาไม่นานยายแก่ก็ถึงอายุขัย หลานๆก็จัดงานศพเสียงดงามเมื่อเสร็จจากงานศพแล้ว ลูกหลานทุกคนก็ต่างคิดบัญชีค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้แบ่งเงินในไหว่าใครได้ส่วนแบ่งมาก ใครได้น้อย พอคิดบัญชีเสร็จแล้วก็ยังทะเลาะกันจนยุติไม่ได้ เพราะต่างคนก็อยากจะได้มาก ไม่มีใครยอมใคร ในที่สุดก็ตกลงให้เปิดไหก่อนเพื่อจะนับเงินทอง แต่แล้วทุกคนก็ต้องผิดหวังเพราะพอเผยอฝาไหออก กลิ่นอุจระก็เหม็นคลุ้ง จนทุกคนผงะหงายลูกหลานทุกคนเสียรู้ยายแก่เสียแล้ว

เสือตีนโต

มีสามีภรรยาคู่หนึ่งอาชีพทำไร่ อยู่มาวันหนึ่งทั้งสองคนต่างก็ไปช่วยกันทำไร่เหมือนเคย เผอิญวันนั้นไม่ได้ห่อข้าวไปกิน คิดว่าจะกลับไปกินกันที่บ้านพอตกบ่าย สองสามีภรรยาก็ชวนกันกลับบ้าน เมื่อถึงบ้านสามีจึงพูดกับภรรยาว่า"นี่น้อง ไปหุงหาอาหารมากินกันเถอะ วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรพี่หิวจังเลย"ฝ่ายภรรยานั้นเป็นคนเกียจคร้านไม่ชอบหุงหาอาหารอยู่แล้ว เมื่อได้ยินสามีพูดดังนั้นจึงตรงไปยังห้องครัว เข้าไปเปิดหม้อข้าวดู ก็เห็นมีข้าวเหลืออยู่ น่าจะพอแบ่งกันกินได้จึงบอกกับสามีไปว่า"ข้าวมีอยู่แล้วพี่ กับข้าวเมื่อเช้านี้ก็ยังเหลือ พี่หิวก็มากินได้เลย""เอ้างั้นก็ตกลง น้องก็มากินพร้อมกันเลยซิ" สามีพูดสามีภรรยาต่างก็แบ่งข้าวกันกินคนละจาน ข้าวในหม้อจึงเหลืออีกเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเผอิญมีเพื่อนคนหนึ่งมาที่บ้าน "เอ้ากำลังทำอะไรอยู่ละ" เพื่อนเอ่ยถาม"กำลังจะกินข้าวกลางวันกัน มาๆ มานั่งกินข้าวด้วยกัน" สามีกล่าวเชิญชวนเพื่อนที่มาเยี่ยมตามธรรมเนียมไทยแท้ของคนไทย"แหม กินสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน กำลังหิวอยู่พอดีเชียว"เพื่อนก็มานั่งร่วมวงกินข้าวด้วย ภรรยาจึงตักข้าวที่เหลืออยู่ในหม้อให้แขกที่มาเยี่ยมเยือน ข้าวที่มีเหลืออยู่ในหม้อเพียงน้อยนิดก็หมดลงทั้งสามคนต่างกินกันไปคุยกันไป ข้าวในจานแต่ละคนก็ร่อยหรอทีละนิด เผอิญข้าวในจานของเพื่อนหมดก่อน เพื่อนก็คอยโอกาสให้เจ้าของบ้านคดข้าวให้ตนเพิ่ม แต่ก็ไม่ตักให้เสียที ฝ่ายเพื่อนยังไม่อิ่ม จึงคิดหาอุบายที่จะบอกให้เจ้าของบ้านคดข้าวให้ จึงพูดขึ้นว่า"เมื่อวานนี้ เราไปเที่ยวในป่ามา โอ้โฮเพื่อนเอ๋ยเราไปเจอเสือตัวหนึ่งรอยตีนโตขนาดจานข้าวนี่เลย"เพื่อนพูดพร้อมกับเอียงจานให้เจ้าของบ้านดูเจ้าของบ้านเมื่อเห็นดังนี้ ก็ถือโอกาสเล่าต่อว่า"เมื่อวานนี้เหมือนกันนั่นแหละ เราก็ไปเที่ยวป่ามาเหมือนกัน โอ้โฮเพื่อนเอ๋ยเราไปเจอช้างรอยตีนโตขนาดหม้อนี่แหละ"พูดพร้อมเอียงหม้อให้ดู เพราะข้าวก็หมดหม้อแล้วเหมือนกัน

ใครโง่กว่ากัน

มีชายสองคนพี่น้อง คนพี่ชื่อดำเป็นคนขยันทำมาหากิน เงินทองที่หามาได้ก็รู้จักใช้จ่ายจนมีเงินเก็บอยู่บ้าง ส่วนคนน้องชื่อแดงเป็นคนเกียจคร้าน ไม่เอาใจใส่ต่อการทำงาน ได้เงินมาก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีเงินเก็บหอมรอมริบ คอยแต่เบียดเบียนนายดำผู้พี่ ยิ่งไปกว่านั้นถ้านายดำเผลอเมื่อไหร่ เป็นอันต้องถูกนายแดงขโมยเงินเสมอ ไม่ว่านายดำจะซุกซ่อนเงินไว้ตรงไหนอยู่มาวันหนึ่งนายดำต้องออกไปทำธุระนอกบ้าน จึงคิดหาวิธีที่จะซ่อนเงินที่มีอยู่หนึ่งพันบาทให้มิดชิดที่สุด คิดอยู่นานก็หาที่ซ่อนไม่ได้ จะเอาซ่อนตรงไหนๆ ก็เกรงว่านายแดงจะมาขโมยไปในที่สุดก็ตัดสินใจขุดหลุมฝังซ่อนไว้ดีกว่า จึงลงจากเรือนคว้าจอบใส่บ่าเดินออกหลังบ้านแล้วขุดหลุมเอาเงินห่อกระดาษใส่ลงก้นหลุม เอาดินกลบและดูความเรียบร้อย ดูไปดูมานายดำก็คิดว่า"นี่ถ้านายแดงมาเห็นรอยเรากลบหลุมไว้อย่างนี้ คงต้องรู้ว่าเราฝังเงินเอาไว้แน่"พลันความคิดของนายดำก็เกิดขึ้น เอาอย่างนี้ดีกว่าเราเขียนป้ายมาปักไว้ที่หลุมนี้ว่า"เงินหนึ่งพันบาทของนายดำ ไม่ได้อยู่ในหลุมนี้" นายแดงก็คงจะไม่สงสัยเป็นแน่คิดแล้วนายดำก็จัดการเขียนป้ายดังกล่าวมาปักไว้ที่หลุม เสร็จแล้วก็จัดแจงแต่งตัวออกจากบ้านไปฝ่ายนายแดงหลังจากเที่ยวเตร็ดเตร่อยู่หลายวัน จนเงินหมดจึงกลับบ้าน ไม่พบพี่ชายจึงได้โอกาสเหมาะเที่ยวค้นหาเงิน เชื่อว่าพี่ชายจะต้องซ่อนไว้ที่ไหนซักแห่งแน่ ค้นหาบนบ้านอยู่นานก็ไม่พบ จึงเดินลงจากเรือนไปค้นตามหลังบ้าน ก็พบป้ายหนึ่งเขียนไว้ว่า"เงินหนึ่งพันบาทของนายดำไม่ได้อยู่ในหลุมนี้"เมื่อนายแดงอ่านป้ายดูแล้วก็เกิดความสงสัยว่า เมื่อไม่มีเงินแล้วจะเขียนป้ายบอกไว้ทำไมจึงลงมือขุดดู ก็พบเงินที่ซ่อนไว้ เมื่อได้เงินมาแล้วนายแดงเกิดนึกขึ้นได้ว่า ถ้าพี่ชายกลับมาเห็นเงินในหลุมหายไปก็คงโทษเราแน่ อย่ากระนั้นเลยเราเขียนป้ายปักไว้ดีกว่า เมื่อพี่ชายมาเห็นจะได้คิดว่าเราไม่ได้เอาไป คิดดังนั้นแล้วนายแดงก็จัดการเขียนป้ายมาปักไว้ที่หลุมว่า"เงินหนึ่งพันบาทในหลุมนี้นายแดงไม่ได้เอาไป"

ทำดีได้ดี

ครูกล่าวกับนักเรียนในชั้น "นักเรียนทุกคนควรทำสิ่งที่ดีวันละอย่าง"วันรุ่งขึ้นครูถามนักเรียน "สมชาย เมื่อวานนี้เธอทำความดีอะไร""ผมจูงหญิงแก่ข้ามถนนครับ" สมชายตอบ
"ดีมากสมชาย แล้วเธอล่ะ? สมศักดิ์""ผมช่วยสมชายจูงหญิงแก่ข้ามถนนครับ" สมศักดิ์ตอบ
"ดีมาก แล้วเธอล่ะ? สมรักษ์""คุณครูครับ ผมช่วยสมชายกับสมศักดิ์ จูงหญิงแก่ข้ามถนนครับ"
"เอ๊ะ แปลกจริง พวกเธอสามคนจูงหญิงแก่ข้ามถนนเหมือนกันเลยเหรอ?""ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยครับ" สมรักษ์รายงานครู"คือว่าหญิงแก่คนนั้นไม่อยากข้ามถนน ผมสามคนต้องช่วยกันออกแรงถึงฉุดแกข้ามถนนไปได้............."

ความรู้ท่วหัวเอาตัวไม่รอด

นักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ได้ว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟากในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำกระฉอกเป็นระลอก
เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ เมื่อเรือเข้าสู่กระแสน้ำเชี่ยว คนแจวเรือจึงต้องตั้งอกตั้งใจแจวอย่างระมัดระวัง ฝ่ายนักศึกษากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเล่มใหญ่ ในที่สุดนักศึกษาก็ละสายตาจากตำราเงยหน้ามองมาที่คนแจวเรือ
"ลุงเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์บ้างไหม?" นักศึกษาถามขึ้น
"ไม่เคยเลยครับ" คนแจวเรือจ้างตอบเบาๆ
"งั้นลุงก็พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่านมีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในอดีต เรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เรารู้ว่าคนในสมัยโบราณใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่งกายแบบไหน ประวัติศาสตร์จะบอกให้ทราบถึงความเจริญของชนชาติต่างๆทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?"
"ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ" คนแจวเรือตอบ
คนแจวเรือก็แจวเรือต่อไป นักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น
ผ่านไปสักครู่ นักศึกษาก็ถามคนแจวเรือขึ้นอีก "ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?"
"ไม่เคยเลยครับ"
"ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เรารู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ กระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝนภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าศึกษามาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?"
"ไม่เคยเลยครับ" คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาส่ายหน้า"ไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงไม่มีค่าอะไรเลย"
"วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า"
"ไม่เคยอีกแหละคุณ"
"ลุงเป็นคนยังไงกันหือ? วิทยาศาสตร์ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ความก้าวหน้าของมวลมนุษย์ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรง นักวิทยาศาสตร์เป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งในโลกปัจจุบัน แต่ทว่าลุงไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเหลือเกิน"
นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่ยอมพูดจาอีก ขณะนั้นเมฆดำได้แผ่ขยายเต็มท้องฟ้าลมเริ่มพัดแรง ฟ้าแลบแปลบปลาบ พายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกไกลกว่าจะถึงฝั่ง
คนแจวเรือแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า "ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?"
นักศึกษาพูดอย่างตกใจกลัว"ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง"
บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างแปลกใจบ้าง และพูดว่า
"อะไรกัน คุณว่ายน้ำไม่เป็น คุณรอบรู้ออกมากมาย ประวัติศาสตร์เอยภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์คุณก็ออกคล่อง แต่ทำไมไม่เรียนว่ายน้ำด้วยเล่า อีกประเดี๋ยวเถอะ คุณจะรู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย"
พายุพัดจัดขึ้น เรือลำน้อยถูกคลื่นและลมพัดโยนขึ้นๆลงๆในไม่ช้าก็ถูกคลื่นและพายุกระหน่ำจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสารจมหายไปใต้กระแสน้ำอันไหลเชี่ยวนั้น

พ่อยอมแล้วลูก

นายดีเป็นคนบ้านนอก ส่งลูกชายไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ วันหนึ่งนายดีได้ไปเยี่ยมลูกชายลูกชายก็บอกพ่อว่า "พ่อมาอยู่กับผมที่กรุงเทพฯ พ่อจะทำอะไรตามสบายแบบอยู่ที่บ้านเราไม่ได้นะเพื่อความแน่ใจ พ่อเห็นผมทำอะไร ให้พ่อทำตามผมก็แล้วกัน"มีวันหนึ่ง ลูกชายต้องไปงานเลี้ยง จึงชวนนายดีไปด้วย นายดีแกทำอะไรไม่ค่อยถูกเพราะไม่เคยเข้างานสังคม แกจึงวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าจะทำอะไรขายหน้าลูกชายขณะที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ด้วยกันนั้น นายดีก็จ้องมองลูกชายอยู่ตลอดเวลา ถ้าเห็นลูกชายทำอะไรแกก็จะทำตาม ตอนแรกเขาก็ยกอ้อยควั่นมาเสิร์ฟ ลูกชายก็หยิบอ้อยเข้าปากนายดีก็ทำตาม ต่างคนต่างกิน พอดูดจนน้ำอ้อยหมดก็เหลือแต่กาก ฝ่ายลูกชายก็เอาผ้าเช็ดปากมาปิดปากแล้วคายกากอ้อยออก ตอนนั้นนายดีไม่ได้สังเกตุ คิดว่าลูกชายเช็ดปากเฉยๆนายดีก็เคี้ยวกากอ้อยต่อไปอยู่พักใหญ่ ก็ไม่เห็นลูกชายคายกากอ้อยออกมา แกคิดในใจ"เอ..มันคายกากอ้อยไว้ที่ไหนนะ ใต้โต๊ะก็ไม่มี หรือมันจะกลืนลงท้องไปแล้ว"ดังนั้นแกจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่า "เอา..กลืนก็กลืน" เมื่อกลืนไปแล้วกากอ้อยก็ติดคอนายดีจึงต้องดื่มน้ำตามมากๆ กว่ากากอ้อยจะลงคอไปได้ แกก็ต้องกินน้ำไปตั้งหลายแก้วต่อมาเขาก็นำขนมจีนมาเสิร์ฟ ฝ่ายลูกชายก็ตักขนมจีนมากิน นายดีก็ทำตามระหว่างที่กินอยู่นั้น ลูกชายก็เกิดสงสัยว่า ตอนที่พ่อกินอ้อยนั้น พ่อเอากากไปทิ้งที่ไหนมองไปที่นายดีนั่งอยู่ก็ไม่เห็นมีกากอ้อยอยู่เลย ลูกชายจึงถามขึ้นว่า"พ่อ..ตอนที่พ่อกินอ้อยนะ พ่อเอากากไปไว้ที่ไหน ทิ้งเรี่ยราดไม่ได้นะพ่อ""ข้ากลืนเข้าไปนะซิ เพราะข้าไม่เห็นแกคายกากออกมาเลย"ฝ่ายลูกชายพอได้ยินก็นึกขำจนกลั้นไม่อยู่ ก็เลยสำลักขนมจีน เส้นขนมจีนก็ออกมาทางจมูก นายดีเห็นดังนั้นก็พูดขึ้นว่า"พ่อยอมแล้วลูก อย่างนี้พ่อทำตามไม่ได้หรอก" นายดีพูดพร้อมกับยกมือไหว้ลูกชายของ

สมเหตุสมผล

มีชายคนหนึ่งมีอาชีพตัดฟืน ระหว่างเดินทางไปตัดฟืนได้เดินผ่านบ้านของชายผู้หนึ่งซึ่งเลี้ยงสุนัขเอาไว้ จู่ๆสุนัขได้กระโจนเข้าใส่เขา เขาจึงใช้ขวานจามสุนัขตาย เจ้าของสุนัขจึงได้ยื่นฟ้องต่อศาล
ผู้พิพากษาถามชายตัดฟืน: "ทำไมท่านถึงฆ่าหมาตาย?""เพราะว่าหมามันโถมเข้าหาข้า ข้าจำเป็นต้องป้องกันตัว ข้าจึงควงขวานแล้วจามมันตาย" ชายตัดฟืนตอบ
ผู้พิพากษาถามอีก: "แล้วทำไมท่านไม่หันด้ามขวานไปข้างหน้าละ?"
ชายตัดฟืนตอบ "ถ้าหมามันคิดจะกัดข้าด้วยหางของมัน ข้าก็ควรหันด้ามขวานไปข้างหน้าแต่มันแยกเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ข้า ข้าหันคมขวานเข้ารับมันจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว

ความยุติธรรม

มีครอบครัวหนึ่งพ่อชื่อทอง แม่ชื่อเข็ม นายทองมีลูกสาวสวยอยู่ 2 คนคนพี่ชื่อกอง คนเล็กชื่อผอง ปกตินายทองเป็นคนที่หวงลูกสาวมาก สาวกองและสาวผองมักจะมีหนุ่มมาจีบสับเปลี่ยนวันกันประจำ คือถ้าวันนี้เป็นของสาวกองพรุ่งนี้ก็เป็นวันของสาวผอง พวกหนุ่มๆในหมู่บ้านนั้นก็เข้าใจ
แฟนของสาวกองนั้นดีดพิณ แฟนของสาวผองเป่าแคน แต่คืนวันนั้นได้ยินทั้งเสียงแคนและเสียงพิณ พี่น้องเลยเกี่ยงกันเข้านอน นายทองจึงโมโหไล่ลูกสาวเข้านอนทั้งสองคนหนุ่มๆก็ไม่พอใจ พอตกดึกหนุ่มหนึ่งเลยแอบขึ้นไปบนบ้านแล้วขี้ใส่ไว้บนเขียงในครัวพี่น้องตื่นขึ้นมาตอนเช้าต่างก็เกี่ยงกันทำความสะอาด ต่างก็โทษว่าแฟนของอีกฝ่ายเป็นคนขี้ พ่อแม่ได้ยินจึงลุกออกมาดู นายทองเดินไปเอามีดโต้มาแล้วฟันฉับลงไปตรงกลางขี้พร้อมกับพูดว่า"อีกองเมี่ยนส่วนนี้ อีผองเมี่ยนส่วนนั้น แม่มึงล้างเขียง กูสิล้างมีด

อ้อยกับลูกสาวคหบดี

กาลนานมาแล้ว ในสมัยที่โลกยังไม่มีแปรงสีฟันใช้นั้น มีคหบดีผู้หนึ่งมีความรักใคร่เอ็นดูบุตรสาวของตนมาก เพราะบุตรสาวของเขานั้นเป็นหญิงที่งามทั้งใบหน้า และกริยา
วันหนึ่งเห็นว่าบุตรสาวของตนชักจะมีขี้ฟันมากเกรอะกรังอยู่ไรฟันเต็มไปหมดเวลาพูดจาหรือเข้าใกล้ก็มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง คหบดีผู้นั้นคิดว่าถ้าจะปล่อยให้สภาพการณ์เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ นอกจากพวกหนุ่มๆที่เข้ามาติดตอมจะเอือมระอาแล้ว ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคมด้วย แต่ก็ไม่กล้าบอกบุตรสาวตรงๆเพราะเกรงบุตรสาวจะอับอายจึงได้หาอุบายโดยบอกให้บุตรสาวไปหาอ้อยมากินให้มากๆ เพื่อผิวพรรณจะได้สวยงามยิ่งขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วอ้อยเหล่านั้นจะได้ช่วยแปรง และแทะขี้ฟันให้หลุดไปได้

เขาจึงได้ให้เงินลูกสาวเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ไปหาซื้ออ้อยที่สวนข้างๆบ้านมาไว้กินแต่ขณะที่บุตรสาวเดินไประหว่างทางยังไม่ทันถึงสวนอ้อย เห็นพ่อค้าหาบเผือกต้มสวนทางมาหล่อนอยากกินเป็นกำลัง จึงซื้อเผือกกินเสียจนหมดเงินแล้วจึงเดินกลับบ้าน
บิดาเห็นหล่อนเดินมาแต่ไกลจึงนึกดีใจว่าขี้ฟันของลูกสาวตนคงหมดเกลี้ยงดีแล้วแต่ที่ไหนได้พอหล่อนเผยอยิ้มเท่านั้น ขี้ฟันกลับพอกพูนเกรอะกรังส่งกลิ่นตลบยิ่งขึ้นเพราะเผือกได้เข้าไปจับเกาะเต็มไปหมด คหบดีผู้นั้นเกือบล้มทั้งยืน
เห็นแต่ไกล[ คงกินอ้อยแล้ว ]ใกล้เข้ามา[ ขี้ฟันคงหมดแล้ว ]
[ ชัดเลย...หึ่งเชียว ]
คหบดีจึงถามบุตรสาวว่า "อีหนู เอ็งไม่ได้ไปซื้ออ้อยกินหรอกหรือ?"
"เปล่าจ้ะพ่อ ฉันนึกอยากกินเผือกต้ม เลยซื้อกินเสียอิ่ม" บุตรสาวตอบ
"ชะอีเวร นี่เองขี้ฟันจึงมากขึ้นตั้งบุ้งกี๋"
บุตรสาวได้ยินดังนั้นจึงทราบถึงอุบายของบิดา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจึงหมั่นซื้ออ้อยกินทุกๆวัน ฟันจึงสอาดหมดจดยิ่ง

แม่ยายเกลียดลูกสะใภ้

สีมากำพร้าพ่ออยู่กับแม่สองคนพอโตเป็นหนุ่มก็แต่งงานในครอบครัวก็รักใคร่กันดี แต่สาวๆที่ผิดหวังจากสีมาอิจฉาจึงยุแหย่แม่ผัวให้เกลียดลูกสะใภ้ตอนแรกลูกสะใภ้ก็ไม่โต้ตอบเวลาแม่ผัวดุด่านานเข้าก็โต้ตอบไปบ้าง ทำให้สีมาหนักใจคิดหาวิธีให้ทั้งสองปรองดองกัน จึงบอกแม่ว่าจะฆ่าเมียตัวเองให้เพื่อให้แม่สบายใจ
แต่ก่อนจะฆ่าให้แม่ทำดีกับลูกสะใภ้สัก 15 วันก่อน และก็ไปบอกเมียให้ทำดีกับแม่ 15 วันเช่นกันแล้วจะฆ่าแม่ให้ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองต่างทำดีต่อกัน จนเกิดรักใคร่กันจริงๆพอครบ 15 วันสีมาทำท่าจะฆ่าเมียแม่ก็เข้าห้ามไว้พอจะฆ่าแม่เมียก็ห้ามไว้สีมาจึงเอาเคียวเก็บที่เดิมพร้อมยิ้มอย่างสุขใจที่แก้ปัญหาลูกสะใภ้กับแม่เกลียดกันได้สำเร็จ

อ่านแล้วน่ารักดีบิดาภูมิใจแย่เลย

ชาวนาผู้หนึ่งมีบุตรสาวอยู่สองคน วันหนึ่งอยากจะทดลองปัญญาของบุตรทั้งสองจึงส่งแตงโมให้บุตรทั้งสอง 1 ใบ โดยบอกว่าให้ทั้งสองไปแบ่งกันกินให้เท่าๆกันเพื่อจะได้ไม่ต้องโต้เถียงทะเลาะเบาะแว้งกันเรื่องได้มากได้น้อย ถ้าแบ่งไม่ได้เท่าๆกันเกิดทุ่มเถียงกันขึ้นเมื่อใด ก็จะต้องถูกลงโทษทั้งสองคนเด็กทั้งสอง เมื่อได้รับแตงโมมาแล้วไม่รู้ว่าจะผ่าแบ่งกันอย่างไรจึงจะได้ส่วนเท่าๆกันด้วยเกรงจะต้องถูกทำโทษ ในที่สุดจึงตกลงกันในวิธีการดังนี้ โดยที่เด็กทั้งสอง เห็นว่าเป็นวิธีที่ยุติธรรม คือ ถ้าหากใครเป็นผู้ผ่าแตงโมออกเป็นสองซีก ผู้นั้นจะต้องเป็นฝ่ายเลือกทีหลัง และจะต้องยอมให้ฝ่ายที่ไม่ใช่เป็นคนผ่าเลือกก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนผ่าลำเอียง โดยผ่าเป็นชิ้นโตชิ้นหนึ่งและชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง แล้วคนผ่ารีบเลือกเอาชิ้นโตเป็นของตนเองเสียก่อนเมื่อเด็กทั้งสองได้ผ่าแตงโมแบ่งกันเสร็จแล้ว จึงรีบวิ่งไปเล่าให้บิดาฟัง บิดามีความพอใจในสติปัญญาของเด็กทั้งสองนั้นมาก

พื้นเมืองเวียงจันทน์

อดีตกาลนานมา เวียงจันทน์กับไทยเป็นศัตรูกัน ไทยยกทัพไปตีเวียงจันทน์หลายครั้ง
แต่ก็ไม่ชนะสักทีทั้งที่มีกำลังมากกว่า เพราะเวียงจันทน์มีพระยานาคมาช่วยเหลือ คือเมื่อเจ้าเมืองตีกลองขึ้น
พระยานาคก็จะโผล่ขึ้นมาจากน้ำพ่นพิษใส่ทหารไทยตายหมด
กษัตริย์ไทยทราบเรื่องจึงวางแผนให้เชียงเมี่ยง ที่เป็นคนฉลาดหลักแหลม
ปลอมเป็นหมอมอ(หมอโหร) เข้าไปในเวียงจันทน์ เมื่อได้โอกาสเข้าพบเจ้าอนุ
เจ้าเมืองเวียงจันทน์ หมอมอทำนายว่าเจ้าอนุวงศ์จะได้รับมรดกที่เป็นเงินฝังไว้ที่ครกมอง
เมื่อเจ้าอนุให้คนไปขุดดูก็ได้พบจริงๆ จึงทำให้เกิดความศรัทธาเชื่อถือในหมอมอคนนี้มาก
ส่วนสาเหตุที่พบนั้น เนื่องจากเชียงเมี่ยงให้คนเอาไปฝังไว้ก่อนแล้ว
ต่อมาเชียงเมี่ยงให้คนทำว่าวติดธนู แล้วปล่อยขึ้นสูงมากจนมองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงธนู
เจ้าอนุแปลกใจมากหาสาเหตุไม่ได้จึงให้เรียกหมอมอมาทำนายดู หมอมอปลอม(เชียงเมี่ยง)
ก็ทำนายว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนแก่บ้านเมือง เพราะเสียงนั้นคือภูตผีปีศาจที่ร้องโหยหวนจะลงมากินผู้คน
พระราชา อนุ ถามว่าจะมีวิธีแก้อย่างไร หมอมอปลอมบอกว่าจะต้องไปตัดลิ้นกลองใบนั้น
และให้อุดรูพระยานาคเสีย เสียงนั้นก็จะหายไปและภูติผีปีศาจจะไม่ลงมากินผู้คน
เจ้าอนุหลงกลจึงให้คนทำตาม
ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ให้คนไปตัดสายว่าว เสียงนั้นก็หายไป จากนั้นเชียงเมี่ยงก็ให้สัญญาณ
ให้กองทัพของไทยเข้าตีเวียงจันทน์ เจ้าอนุให้คนไปตีกลองเพื่อให้พระยานาคมาช่วย แต่กลองก็ตีไม่ดัง
เพราะสิ้นลิ้นไปแล้ว ประกอบกับพระยานาคก็ถูกอุดรู พระยานาคจึงไม่ได้ขึ้นมาช่วยทำให้เวียงจันทน์ต้องแพ้แก่ไทย
เจ้าอนุนั้นถูกฆ่าตาย แล้วเวียงจันทน์ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของไทย
เรื่องนี้เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาในแถบลุ่มแม่น้ำโขงฝั่งไทย มีนครพนม สกลนคร หนองคาย เป็นต้น

ไอ้บ้าเครื่องชั่งนะโว้ย

มีชายคนหนึ่งพร้อมกับเพื่อน ไปนั่งรอรถไฟที่สถานี รถจะมาถึงเวลาบ่ายโมง
ชายคนนั้นก็บอกให้เพื่อนไปดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่ในบริเวณสถานีว่า บ่ายโมงแล้วหรือยัง

เพื่อนก็วิ่งไปดู แล้วก็กลับมาบอกว่า "เที่ยง...ยังไม่บ่าย" ทั้งสองก็นั่งรอรถกันต่อไป

นั่งรอกันอยู่พักใหญ่ ก็บอกให้เพื่อนวิ่งไปดูนาฬิกาอีกที ว่าบ่ายโมงหรือยัง

เพื่อนก็วิ่งไปดูอีก แล้วก็กลับมาบอกว่า "เที่ยง...ยังไม่บ่าย"
ก็นั่งรอรถกันอีก จนกระทั่งตะวันคล้อยไปแล้ว ก็บอกให้เพื่อนวิ่งไปดูนาฬิกาอีกสักที

เพื่อนก็วิ่งไปดู แล้วก็กลับมาบอกว่า "เที่ยง...ยังไม่บ่าย" เหมือนเดิม

ชายคนนั้นก็เกิดความสงสัย จึงพูดกับเพื่อนว่า "ไหน นาฬิกาที่เอ็งวิ่งไปดูมันอยู่ตรงไหน"

เพื่อนก็พาไปดูพร้อมกับชี้บอกว่า "นี่ไงล่ะ"

ชายคนนั้นหัวเราะไม่ออกจึงพูดออกมาว่า
"โธ่เอ๋ย! นั่นมันเครื่องชั่งน้ำหนักต่างหาก ไม่ใช่นาฬิกา เอ็งเข้าใจผิดไปแล้ว

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รวมเรื่องเล่าน่ารักๆ ของในหลวง

เรื่องเล่าเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ได้รับการ Forward Mail ต่อๆกัน หากคุณได้อ่านและสัมผัสกับเรื่องเล่าจากในวัง .... คุณจะรักในหลวงของเรามากยิ่งๆขึ้น
เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อสมเด็จพระเทพฯทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"
แม่ค้าตอบว่า " ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80บาทจ๊ะ"
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล ที่คล่องแคล่วและใช้ ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า " เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. "
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
เรื่องนี้ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำ พระบรมฉายาลักษณ์ของท่าน มาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
"ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดี ว่า"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่าในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวี(ผิวหน้า)มีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษาคุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ก็กราบบังคมทูลว่า
"เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า
" อ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ"
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป
เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า
"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"
และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
" ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคม ทูลรายงาน ฯลฯ "
เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ ถือสาว่า " เออ ดี เราชื่อเดียวกัน.."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะพระองค์ทรงตรัส! ว่า
" เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า" คนที่แบงค์ "
นางสนองพระโอฐก้อ งง .....งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิด กระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย

สามก๊กฉบับเฉลิมไทย

ก่อนหน้าปี ค.ศ. 184 ราชวงศ์ฮั่นที่ก่อกำเนิดขึ้นจาก เล่าปัง ซึ่งสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าฮั่น โกโจ ได้ปกครองแผ่นดินจีนและวางรากฐานอย่างยอดเยี่ยมมาจนถึง ยุคของพระเจ้า เลนเต้ ซึ่งเป็นยุคที่กระเทยครองโลกขันทีทั้งสิบจัดการมอมเมาฮ่องเต้ ด้วย สุรานารี พริตี้ และ โคโยตี้โบราณ ทำเอาพระเจ้าเลนเต้วันๆเอาแต่ซื้อดริ้งค์ จนไม่เป็นอันบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้าวันหนึ่งในกระท่อมเล็กๆแห่งหนึ่ง ณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน พี่น้อง นักดนตรี อายุ ในราวสามสิบขึ้นไป ทั้งสามคนกำลังนั่งปรับทุกข์กันอยู่ เขาคือ เตียว บิ๊ก เตียวบอมบ์ และ เตียว บอย เออ......เพื่อความถูกต้องในเกร็ดประวัติศาสตร์ผมลงชื่อจริงดีกว่าจะครับ เขาคือ เตียว ก๊ก เตียว โป๊ และ เตียว เหลียงพี่คนโตกล่าวกับน้องๆทั้งสองของเขาว่า “เราต้องมาคุยกันหน่อยแล้วช่วงนี้ อาชีพนักดนตรีของพวกเราเริ่มถึงจุดที่หน้าเป็นห่วง เราควรจะมาช่วยคิดว่าทำอย่างไรเราทั้งสามคน จึงจะสามารถเป็นคนของมหาชนได้สักที น้องทั้งสองของพี่จงช่วยคิดกันทีเถิด”น้องคนกลาง ซึ่งหน้าตารื่นเริ่งอย่างไม่มีเหตุผลอยู่ตลอดเวลา หัวเราะขึ้นมาดังๆว่า “ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยากเป็นคนของมหาชน เราก็ต้องไปขออนุญาต เสธ.หนั่นสิครับพี่ วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”น้องคนเล็กซึ่งทำใจกับมุขตลกที่ต้องช่วยกันขำในครัวเรือนของพี่คนรอง ไปเสียแล้วกล่าวเอาใจขึ้นมาว่า “ พี่เตียว บอย เอ้ย เตียวโป๊ ตลกจังเลยครับมุขนี้คิดได้ไงครับพี่” จริงๆแล้วน้องคนเล็กเป็นคนจิตใจดีมาก เพราะเขาไม่อยากเบรคพี่รองเนื่องจากอยากให้พี่รองมั่นใจในตัวเองว่าเขาเป็น นักดนตรีหนุ่มอารมณ์ดี หลายครั้งเขาจึงต้องฝืนทนกับมุขตลกที่ต้อง คิด ก่อนขำ ของพี่ชายคนรองเสมอ“ดีมากเจ้ารอง จงจำมุขนี้ไว้ใช้ในรายการในช่วงมุขเสื่อมด้วยนะ….เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องกันเสียที พี่ขอพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันกันก่อน ตอนนี้ในวงการ เอ้ยในราชสำนัก ฮั่นตอนนี้ฟอนเฟาะยิ่งนัก สิบขันที กำลังมีเรทติ้งอำนาจกระฉูด พวกเราก็รวมตัวกันมาจนอายุป่านนี้แล้ว แม่แต่ อาม่าหน้าปากซอยยังไม่รู้ว่าพวกเราเป็นคนในวงการ เอ้ย เป็นคนในยุทธจักร พวกเราควรที่จะมาเบรนสตอร์มวางแผนการตลาด ปรับปรุงอิมเมจกันเสียใหม่ มิฉะนั้น เราอาจจะต้องจำใจกลับไปขายเกี๊ยวกันต่อไป น้องทั้งสองจงช่วยคิดว่าทำอย่างไร เราจึงจะมีแฟนคลับกะเขาบ้างสักที”น้องรองหยุดยิ้มชั่วครู่ก่อนจะให้ความเห็นว่า “หรือเราควรจะทำรายการสักรายการหนึ่ง ที่เชิญแขกรับเชิญ มา นั่งเงียบๆฟังพวกเราพูดดีไหม ท่านพี่”“ทุกวันนี้เราก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ พี่รอง” น้องสามกล่าวเตือนให้สติ“หรือเพื่อให้เข้าสู่ประชาชนระดับรากหญ้า เรา ควรจะให้เสียงเรากระจายไปสู่รถเมล์ตอนเช้า”“พี่รอง เรื่องของพวกเราเพิ่งเป็นกระทู้แนะนำ ไปเองนะท่านพี่”พี่ใหญ่ตัดบท“นักปราชญ์โบราณกล่าวไว้ หากจะสร้างกระแส ก็ ต้องดูกระแส เจ้าทั้งสองลองคิดสิว่าตอนนี้กระแสใดกำลังมาแรง”“จตุคาม จุฬา มะ เทพ ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พี่รองหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ ยัง... จตุคาม รามเทพ” น้องสามต้องช่วยแก้อีกตามเคย บางทีเขาก็สงสัยว่าถ้าครอบครัวนี้ไม่มีเขาจะอยู่กันยังไง(***หมายเหตุ สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจมุขดังกล่าว แล้วรู้สึกไม่สบายใจสามารถส่งข้อสงสัย สักถามมาได้ ผู้เขียนจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดต่อไปว่าควรจะขำ ตรง ประโยคไหนและจังหวะขำที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไรจึงจะเหมาะสม***(ผู้เขียน))“ใช่แล้วความศักสิทธิ์ เนื่องจากผู้คนหมดหวังต้องไปพึ่งสิ่งศักสิทธิ์ กันหมด ฉะนั้นถ้าเราจะดัง เราก็ควรจะเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง”“หลักทู่ มากพี่เตียวก๊ก”“หลัก แหลมต่างหาก” น้องสามกำดาบไว้ในมือแน่น เมือกี้เขาเกือบจะฟันคอพี่รองเสียแล้ว“น้องทั้งสองของพี่ จงไปหา หน้าแพะ มา”“...............................................” ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่เพราะไม่ทราบว่าพี่ใหญ่พูดอะไร“เออ.............พี่หมายถึงหน้าม้าน่ะแก้เองก็ได้วะ คือ ให้หน้าม้ามาทำฟอร์มป่วยและให้พี่รักษาให้หายรับรองว่า ข่าวนี้จะแพร่สะพัดไปสู่ ผู้ยากไร้ทั่วแผ่นดินจีน และ แล้ววันที่ฝันของพวกเราจะเป็นจริง นั้นคือวันที่พวกเราจะมีแฟนคลับก็จะมาถึง“ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” น้องรองขำด้วยเสียงอันดังอีกตามเคยซึ่ง แม้แต่ผู้เขียนก็ไม่ทราบว่ามันขำเรื่องอะไร“ถ้าถึงวันนั้น เราทั้งสามคนควรจะมีตำแหน่งกัน เป็นแม่ทัพ เจ้าสวรรค์ แม่ทัพเจ้าโลก(หมายถึงเจ้าของโลก) และ แม่ทัพสมุทร”“ดีมากน้องสามเจ้าคิดว่าเพื่อความเป็นยูนิตี้แฟนคลับเราควรจะมีสัญลักษณ์ด้วยจะดีไหม”“โพกหัวดีกว่าดู เฮฟวี่ ดี ข้าว่ามันดูทันสมัยมาก” น้องรองพูดถึงแฟชั่นเฮฟว่าที่ทันสมัยมากเมื่อ 15ปีที่แล้ว“ข้าชอบสีทองแต่มันหายากงั้นย้อมสีผ้าโพกหัวเป็นสีเหลืองแล้วกัน จะได้ดูเด่น เจ้าทั้งสองเห็นด้วยไหม”“เราทั้งสามเห็นตรงกันพี่ใหญ่”“คำขวัญ ประจำตระกูลของเรา หากอยากเจริญ พวกเราต้องเชิญแขก เจ้าจงเชิญชาวบ้านที่เดือดร้อนทั่วแผ่นดินมาเป็นแฟนคลับของเรา และวันนี้พวกเราสามพี่น้องจะเขย่า ปฐพีเสียที”“ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”สิ้นเสียงหัวเราะของเจ้ารองชายหนุ่มอารมณ์ดีใครจะรู้ว่าวันนั้น กบฎชาวนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ยุคที่ราชวงศ์ฮั่นปกครองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว......................

ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ณเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งของประเทศจีน ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าจับจ่ายใช้สอย สำหรับวัยรุ่นชาวจีน ณ ปี ค.ศ. 184 ยิ่งนัก เมืองเล็กๆแห่งนี้มีชื่อว่าเมือง “ตุ้นกวน” บ่ายวันนั้น มีคนเห็นชายหนุ่ม ผิวขาว หูยาว ไว้หนวดจิ๋ม มือที่ยาวเป็นพิเศษของเขา ถือ ออร์กาไนซ์เซอร์โบราณที่ทำจากไม่ไผ่ สายตาที่หวานเยื้อมเป็นพิเศษของเขากำลัง มองหาชายหนุ่มหน้าตาดีพร้อมกับตรงเข้าไปพูดคุย“น้องสนใจเข้าวงการไหมจ๊ะ”หนุ่มน้อยหน้าใสมองหน้าเขางงๆ พร้อมกับถามว่า “วงการอะไรครับพี่”“พี่เป็นโมเดลลิ่ง ประจำเมืองตุ้นกวนของเราคะ พี่กำลังมองหา หนุ่มหน้าตาดีไปประกวด ตุ้นกวนแฟนตาเซียอยู่น้องสนใจไหม จ๊ะ”หนุ่มน้อย มองหน้าชายหนุ่มหน้าขาวด้วยประกายตามีความหวัง“ หน้าอย่างผมประกวดได้ด้วยเหรอครับ”หนุ่มหน้าขาวถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้าวัยรุ่นชาวจีนหน้าขาวอย่างพินิจพิเคราะห์ “ก็พอจะได้นะจ๊ะ แต่อาจจะต้องฝึกร้องเพลงก่อนพี่ขอเก็บเงินค่าฝึกก่อน 500อีแปะ”หนุ่มน้อยตกใจเป็นอย่างมาก “ทำไมต้องเก็บก่อนด้วยเหรอครับ ผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก”ชายหนุ่มหน้าขาวชักมีสีหน้าไม่พอใจ “เอ๊ะน้องนี่ไม่เชื่อพี่เหรอ แกไม่รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร”“เออ.......พี่เป็นใครครับ” หนุ่มน้อยชักสีหน้าสลด“นี่นามบัตรไม้ไผ่ของฉัน”หนุ่มน้อยหน้าตาดีอ่านด้วยเสียงอันดัง “เล่าปี่ เหี้ยนเต๊ก ........เชื้อพระวงศ์ฮั่น”“นี่เธอรู้แล้วยังว่าฉันเป็นไฮโซ.....ฉันรู้จักคนดังมากมาย ทั้ง เป็นญาติพระเจ้าเหี้ยนเต้ 10ขันที นี่ซี้กันเลย เจอหน้านี่ยกมือไหว้ฉันกันทุกคน โดยเฉพาะขันทีเบอร์8 ฉายามดดำจีนนี่ซี้กันมาก”“เออ............งั้นผมไม่เรียนก็แล้วกันครับ”“กรี๊ด....แกกล้าปฏิเสธฉันเหรอยะ”“ผมอ่านเรื่องของพี่ ที่บอร์ดประจำเมืองแล้วครับ เรื่องที่พี่มาหลอกคนเรื่องถ่ายแบบผมไปแล้วนะครับ”และแล้วหนุ่มน้อยก็เดินจากไปพร้อมกับทิ้งให้ “เล่าปี่ เหี้ยนเต๊ก” ถอนหายใจอย่างท้อแท้ หลังจากเรื่องของเขาแพร่ออกไปในเมือง การหากินก็ลำบากมากขึ้น เขาถึงกับต้องทอเสื่อ และ รองเท้าขาย เพื่อเลี้ยงแม่คนหนึ่ง จริงๆแล้วเขาก็เกลียดตัวเองที่เป็นอย่างนี้ แต่ภายในสถานการ์ณ บ้านเมืองไม่สงบ เศรษฐกิจฝืดเคื่อง แต่ละคนล้วนมีภาระที่ยากลำบากไม่มีใครอยากเป็นคนชั่ว แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เขาแค่อยากหาใครสักคนที่เข้าใจเขา เธอ ..... เอ้ย...เขาตัดสินใจไปที่บอร์ดประจำเมืองเพื่อลบกระทู้ของเขาออก มิฉะนั้นอาชีพของเขาก็คงต้องจบลงจริงๆ แต่เมื่อไปที่บอร์ดประกาศประจำเมืองตุ้นกวนเขาก็หน้าซีดเผือด หน้าที่ขาวอยู่แล้วยิ่งขาวซีดลงไปอีก เพราะมีชาวเมืองมามุงดูบอร์ดเป็นจำนวนมาก “..........หรือว่าฉันต้องหนีออกจากประเทศนี้...........”เล่าปี่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเหมือนกระเทยสำนึกผิดเข้า แต่ต้องเก๊กแมนไปถามชาวบ้านข้างหน้าว่า “เจ้ จ๋า นี่เขาประกาศเรื่องอะไรกันจ๊ะ”“อ๋อ.... ทางการเค้าเกณท์ ทหารไปปราบโจรโพกผ้าเหลืองน่ะ”“เอ๋............ปราบโจรเหรอคะ เอ้ย...ครับ ไม่มีเรื่องอื่นแล้วเหรอครับ”“เรื่องอื่นโดนเอาออกไปหมดแล้ว ณ ช่วงนี้กระแสปราบอำนาจเก่า เอ้ย อำนาจโจรกำลังอินเทรนด์ ป้าว่าเดี๋ยวจะลองส่งไอ้แก่ที่บ้านไปบ้าง เผื่อจะรุ่ง”เล่าปี่ ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ เฮือกใหญ่โล่งใจที่เรื่องของตัวเองกำลังจะถูกลืม ทันใดนั้นก็มีเสียงอันดังปานภูผาถล่ม ตะคอกเขาว่า“เป็นผู้ชายเสียเปล่า มาถอนหายใจเรื่องชาติบ้านเมืองอย่างนี้ มันน่าละอายนักนะท่าน”เล่าปี่ หันไปค้อน ก่อนจะเห็นรูปร่าง บึกบึนลำสันไว้หนวดคมเข้ม มีเครา กระเส่าใจ เขายิ่งนัก จึงอดไม่ได้ว่าจะถามว่า“พี่ท่านนี้มี ชื่อ แซ่ อันใด”“ข้า....เตียวหุย เอ๊กเต๊ก คนขายหมูเว้ย”มิเตอร์ พิเศษ ของเล่าปี่(ปัจจุบันเราเรียกกันว่าเกย์มิเตอร์ )บอกกับเขาว่า บางทีชายหนุ่มลำบึ๊กคนนี้ อาจจะใช่.....บางสิ่งที่เข้ากับเขาได้“ บางทีเราอาจมี “อุดมการณ์” แบบเดียวกัน ขอเชิญน้องชายท่านนี้ไปแลกเปลี่ยนอุดมการณ์ กับข้าสักครู่จะได้ไหม”เตียวหุย มองท่าทางการพูดการจาของเล่าปี่ จึงเริ่มล่วงรู้ความใน ก่อนจะนึกในใจว่า ลองหน่อยก็ได้วะ”หลังจากหายไปแลกเปลี่ยนอุดมการณ์กัน ประมาณ หนึ่งชั่วยาม ทั้งคู่ ก็ได้มานั่งที่ร้านกาแฟตุ้นกวนบั๊ค พร้อมกับพูดคุยอย่างสนิทสนมกว่าเดิมมาก“เจ๊.....เออ....พี่ชายคิดจะ ทำเช่นไรต่อไป….ครับพี่” สังเกตว่าคำว่าเว้ย หายไปจากประโยคของเตียวหุย“ข้าเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ธุรกิจโมเดลลิ่งในเมืองนี้ก็เริ่มฝืดเคือง ข้าอาจจะต้องออกจากเมืองนี้สักที”ทันใดนั้นเริ่มมีรังสีอำมหิตจากโต๊ะข้างๆ เมือมีชายหนุ่ม หนวดเครายาวนั่ง หน้าแดงด้วยความโกรธมองมายังโต๊ะของ เล่าปี่ และ เตียวหุย“อีนี่ เป็นใคร.....”เตียวหุย หน้าซีดเผือด “เออ......เพื่อน เอ้ย พี่ชายน่ะคุยเรื่องเกณท์ทหารกัน พี่กวนอู นั่งก่อนสิครับ”“ไม่ต้องมาโกหก หือๆ ดูก็รู้แล้วว่ามันเป็นใคร ที่ทำกันในห้องเมื่อกี้นี้นึกว่าไม่รู้หรือไง อ๋อ คุยเรื่องเกณฑ์ทหารกันเหรอ สองคนยังไม่พอใช่ไหม อยากล่อทั้งกองทัพเลย นะมึ.ง.”กวนอูยกง้าวขึ้นมา “ผู้ชายมันก็เลวอย่างนี้ทุกคน คนที่แล้วก็ทำกับพี่แบบนี้แหละ เตียวหุยไม่รู้ใช่ไหมว่าพี่จัดการมันยังไง”เตียวหุยทำหน้าสำนึกผิด “ผมขอโทษครับพี่....ผม..เออไม่ได้ตั้งใจ”เล่าปี่ได้ยินดังนั้น ก็เริ่มสงสารชายหน้าแดง เนื่องจากเขาเข้าใจถึงความเจ็บปวดเช่นนี้ดีเขาใช่ว่าไม่เคยผ่านมันมาก่อน“น้องชายท่านนี้โปรดนั่งลงก่อน ข้าเห็นใจท่าน ขอให้เชื่อว่าเราหัวอกเดียวกัน ถ้าข้ารู้ข้าคงไม่ทำ เอางี้ดีกว่ามาถามเจ้าตัวดีว่ามันจะเลือกใคร”เตียว หุย เริ่ม งีด....เขาไม่นึกว่าจะเจอเหตุการณ์ลำบากใจเช่นนี้มาก่อน“เออ ขาดเธอก็เหงา ขาดเขาก็คงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเธอเอาไว้ทั้งสองคน”“เจ้า น่าจะแซ่ ทา ทา มากกว่า......”“ยัง!!!!” เตียวหุยตอบไปโดยไม่รู้ว่าอีก พันสองร้อยกว่าปีต่อมา มันจะกลายเป็นมุขคาเฟ่หลังจากเคลียร์กันอยู่นาน ทั้งสามก็เริ่มเห็นใจกัน เล่าปี่ ก็ มีแต่คนในเมืองเกลียดโดยไม่เห็นใจความจำเป็นของเธอ กวนอู ต้องหนีคดีฆ่าคนรักเก่า ที่บ้านเกิด เตียวหุย ไม่อาจตัดใจจากพี่ทั้งสองได้.....ต่างคน ต่างมีปัญหาส่วนตัว ต่างคนต่าง “เห็น” หัวอกซึ่งกันและกัน....หลังจากถกความในใจกันยกใหญ่ อีกสองยก... ทั้งสามจึงตัดสินใจทำบางสิ่งที่จะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติจีนแน่นอนว่า ยุคนั้น กฏหมายให้เกย์แต่งงานได้ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น...ทั้งสามจึงตัดสินใจ สาบาน ตนเป็นพี่น้องร่วมสาบานไปพลางๆก่อนพิธีสาบานตนจัดขึ้นที่สวนท้อ ทั้ง แม้จะไม่ต้องจัดงานแถลงข่าว แต่ด้วยฝีมือ ปาปาราซซี่โบราณ ทำให้ข่าวกระจายไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านเข้าใจว่า ผู้กล้าสามคนได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว....... การเป็นพี่น้องร่วมสาบาน สมัยนั้นผู้คนเห็นว่าเป็นเรื่องของ “ชายชาตรี”ที่ดูแมนมากๆเท่านั้นที่ทำกัน ชาวบ้านจึงได้เข้ามาขอเป็นกองทหารอาสา พร้อม ได้รับสปอนเซอร์เป็นม้า ห้าร้อยเชือก จาก เศรษฐีชื่อเตียว สิ เพง บริจาคให้ในนาน เตียวสิเพงคอเปอร์เรชั่นบรรยากาศในงานผู้คนชื่นมื่น ร้องรำทำเพลง นักดนตรีเจ้งขับกล่อมเพลง จีนโบราณ แสนไพเราะยิ่งนัก ถอดเนื้อความเป็นไทยได้ว่า....“แต่ เราก็หากันจนเจอ มานานแค่ไหนที่รอเธอมา รู้สึกไหมว่าชีวิตมันล้ำค่า เมื่อมีใครสักคนข้างกาย โว้วๆๆ เย่ๆๆ”ตำนานแห่งจ๊กก๊กอันยิ่งใหญ่เริ่มต้น ณ วันนั้นวันที่สวนท้อ ออกดอกบานสะพรั่ง ในฤดูชุนเทียนที่ บางคนสังเกตว่าสีของดอกท้อวันนั้น.............................สีออก ม่วงๆ.........................

ก็อบมาจาก pantip.com

สอนโดยไม่สอน

สอน โดย ไม่สอน
ช่วงแรกๆที่ผม สนใจเรื่องเกี่ยวกับเซน ดูจะหาตำราที่ แยกเป็นเอกเทศหมวดหมู่ได้ยากมาก คือ มักจะพบกล่าวถึงเกร็ด ต่างๆซะมากกว่า เช่นคำสอนของปรมจารย์ทางเซน ซึ่งผมรู้สึกว่าหลายๆท่านสอนได้ แหวกดี
แต่พอเริ่มรวบรวมแนวคิดต่างๆมากขึ้นก็รู้แล้วว่า ไม่แปลก ผมรู้สึกว่าปรมาจารย์ทางเซน หลายๆท่านนั้นคล้ายผู้กำกับหนัง อินดี้ ซึ่งบางครั้งก็ทำหนังดูแล้วตัวเองก็เข้าใจอย่างหนึ่ง
แต่คนดูไปตีความอีกอย่างหนึ่ง ตามจริตของแต่ละคน นักวิจารณ์บางท่านอาจซึมทราบกับ ภาพที่สั่นไหว โดยตีความว่าเกิดจากความพยายามแสดงอารมณ์ อันหวั่นไหวของตัวละคร ในขณะที่จริงๆแล้วภาพที่สั่นอาจเกิดจากตากล้อง ทะเลาะกับเมียเลยลืมขาตั้งกล้องมา
โอ๊ตเพื่อนผมเคยบอกว่าเคยดูหนังอินดี้เรื่องหนึ่งแล้วตื่นตาตื่นใจกับการนำเสนอของผู้กำกับมาก ตัวละครดูไม่มีที่มาที่ไป ดำเนินเรื่องไปสิบห้านาทีพระเอกตายซะงั้น มันบอกว่ารู้สึกถึงความกล้าหาญของผู้กำกับมากที่ กล้า “ฆ่า”พระเอกภายในสิบห้านาทีแรกทำให้มันอยากรู้ว่าเรื่องที่เหลือจะดำเนินต่อยังไง แต่ดูไปอีกสองนาที...........หนังจบแล้ว.....
โอ้โห เป็นงานที่กระชากใจผู้ชมยิ่งนักที่ให้บทสรุปอัน ห้วนสั้น ที่ทิ้งปมสงสัยไว้กองพะเนินให้กับจิตใจผู้ชม มันยอมรับว่าไม่เคย “ติดใจ” หนังเรื่องใดเท่าเรื่องนี้มาก่อน นี่อาจเป็นความ สุดยอดของผู้กำกับ ที่กล้า “เล่น” กับความรู้สึกคนดูขนาดนี้.....
หนังจบเอาแผ่น (วีซีดี) ออกจากเครื่อง ถึงกับทำให้มันพิจารณาที่แผ่นอย่างละเอียดมิได้........... แล้วความกระจ่าง ก็ เกิดขึ้นกับมันเหมือน ฟ้าผ่ากลางหน้าแล้ง.............. บางครั้งความรู้แจ้งอาจเกิดขึ้นเอง..........

......................................................แผ่นที่สอง..B..............................................................................
…..(-_-“).............
......นี่ตูหยิบแผ่นผิดนี่หว่า..............
อืม นี่อาจเป็นความตั้งใจของผู้กำกับก็ได้(มั้ง) ถ้าดูแผ่น A ก่อน ความรู้สึกมันอาจต่างจากนี้ก็ได้.......
แต่ ปรมาจารย์ทางเซนคงเข้าใจในจุดนี้ ถึง เป็นตำราคัมภีร์ หรือ เป็นแบบแผน อย่างไร สิ่งใดๆในโลกก็ล้วนแต่ต้องผ่านการตีความ เฉพาะ บุคคล อยู่ดี ซึ่งประสบการณ์แต่ละคนย่อมต่างกัน
การรู้แจ้ง เป็นแนวทางเฉพาะบุคคล แต่ละคนต้องแสวงหาหนทางของตนเอง ดังนั้น หลายๆท่านจึงเลือกที่จะ “สอน โดย ไม่สอน”
สอน โดย ไม่ต้องพูด สอน โดยสัญลักษณ์ สอน ด้วยคำพูดแปลกๆ บาง ท่านสอนด้วยงานศิลปะ ( ศิลปะ หลาย แขนง ในจีน หรือ ญี่ปุ่น ล้วนได้รับ อิทธิพลจากแนวทางเซนค่อนข้างมาก)
เชื่อกันว่า คำสอนแนวทาง “เซน” ครั้งแรกเกิดขึ้น เมื่อ พระพุทธเจ้า ประชุม สงฆ์ ที่ ภูเขา คิชกูฎ อยู่ๆ พระองค์ก็ หยิบ ดอกไม้ ช่อหนึ่ง ที่ พุทธศาสนิกชนนำมาถวาย ขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไร.....
พระสงฆ์ ที่ มาร่วมประชุม ก็ นั่งนิ่ง....... ไม่แปลก...... เป็นคุณ หรือ ผมก็คงจะทำอย่างนั้น.....
แต่ มี พระ รูปหนึ่ง ที่ต่างออกไป........
“พระมหากัสปะ เถระ”
ท่านยิ้ม
พระพุทธเจ้า จึง ทรง มอบช่อดอกไม้ให้ แล้วตรัสว่า
“ดูกร มหากัสสปะ.....เราขอมอบทรัพย์อันประเสริฐ คือ โลกุตตรธรรมนี้ให้แก่เธอ ณ บัดนี้”
(ที่มา ที่เดิม จากหนังสือ นิกายเซน เขียนโดย มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช)
และ พระมหากัสปะ ท่านคือ พระสังฆปริณายก องค์ที่ 1.........
เป็น ตำนาน ที่ “ART” มาก.....ใช่ไหมครับ
ตำนานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า................
นั่นสิครับสอนให้รู้ว่าอะไร จริงๆมีคนแปลความหมายตำนานเรื่องนี้ไว้หลายท่าน และ พยายาม บอกว่า สื่อถึงหลักธรรมข้อไหน เหมือนกัน แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า....... เป็นการตีความภายหลัง ซึ่งอาจไม่จำเป็นเลยก็ได้เพราะ ผมเชื่อว่า คนที่ “เข้าใจ.....ไม่ใช่สิ ผมอยากใช้คำว่าเข้าถึง คำสอน จากดอกไม้ช่อนั้นจริงๆ อาจ มีเพียงท่าน มหากัสปะ เพียง ท่านเดียวก็ได้..............
เพราะ การบรรลุธรรม เป็น หนทางเฉพาะตน
มีคน ชี้ทางได้.....
แต่ ต้องเดินไปเอง.....
ส่วนจะไปถึง หรือ ไม่........ไม่ รู้.....
เพราะจะรู้ ก็ต่อเมื่อถึงเวลา...................
ขอจบห้วนๆด่วนๆแต่เพียงเท่านี้ บทความเรื่องนี้ไม่มีแผ่นที่สองครับ ถ้างงก็ช่วยไม่ได้ แล้วกัน แต่ผมเขียนแล้วผมรู้สึกว่า ตัวเองเข้าใจ......(มั้ง)นะ.....
บทหน้าจะกล่าวถึง ท่านตั๊กม้อ...พระสังฆปริณายก องค์ที่ 27 ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อ ต้นกำเนิดของนิกายเซน คอนิยายกำลังภายในคงคุ้นชื่อกันดี........โปรดตามต่อด้วยใจระทึก...นะตัวเอง...

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ชายใดเป็นเนื้อคู่เรา

วันนี้มีแบบทดสอบ เพื่อทำนายสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ (ชายบางคนจะใช้ด้วยก็ได้นะครับฉ) ชายวัยใดเป็นเนื้อคู่เรา ..... ลองดูนะครับ
1.เธออยากเปรี้ยวด้วยวิธีไหน?
ก. คอนแท็กเลนส์สีต่างๆ ไปข้อ 3
ข. แว่นกันแดดขนาดใหญ่ ไปข้อ 5
2.เครื่องประดับที่เธอมีอยู่ ประมาณกี่ชิ้น?
ก. มากกว่า 5 ชิ้น ไปข้อ6
ข. 2-3 ชิ้น ไปข้อ11
3.เธอคิดอย่างไรกับผู้หญิงที่เพ้นท์เล็บ?
ก. เท่ดี ไปข้อ9
ข. ไม่เห็นสวยเลย ไปข้อ7
4.ของที่เธออยากได้จากเค้า มากที่สุด?
ก. ต่างหู ไปข้อ 2ข. แหวน ไปข้อ8
5.เธอจะเน้นแต่งสวยตรงไหนมากกว่ากัน?
ก. ดวงตา - การใช้อายชาโดว์ ไปข้อ 7
ข. ริมฝีปาก - สีของลิปสติก ไปข้อ4
6.เธออยากลองทำอะไร เป็นอย่างแรก?
ก. เจาะหู ไปข้อ10
ข. สวมสร้อยข้อเท้า ไปข้อ11
7.เข็มกลัดติดเสื้อของเธอ..
ก. ใช้บ่อยๆ ไปข้อ2
ข. แทบไม่เคยใช้เลย ไปข้อ9
8.ถ้าเธอสวมสร้อยข้อมือหรือกำไล เธอจะสวมใส่ลักษณะใด?
ก. ใส่ทีละหลายๆ เส้น ไปข้อ 12
ข. เลือกแบบเรียบ และใส่แค่เส้นเดียว ไปข้อ13
9.ถ้าเธอทาทั้งเล็บมือและเท้า เธอจะเลือกสีอย่างไร?
ก. เลือกสีเดียวกัน ไปข้อ2
ข. อยากทาคนละสี ไปข้อ6
10.เธอชอบต่างหูแบบไหน?
ก. แบบติดหู ไปข้อ 11
ข. แบบตุ้งติ้ง ไปแบบ A
11.ถ้าให้เธอเลือกสวมแหวนเพียงวงเดียวนิ้วกลางมือขวา เธอจะเลือกสวม..?
ก. แหวนหัวลายดอกไม้ แบบแฟชั่น ไปแบบ A
ข. แหวนทองแบบเรียบๆ ไปแบบ C
12.ถ้าให้เธอใช้ผ้าพันคอแต่งเป็นจุดเด่นของเธอ เธอจะ..?
ก. เลือกผืนใหญ่ๆ และคลุมไหล่ไว้ ไปแบบ B
ข. เลือกผืนเล็ก แล้วผูกไว้ที่ปกเสื้อ ไปแบบ D
13.เธอชอบแบบไหน ระหว่าง..?
ก. สร้อยคอเส้นโตๆ แบบเปรี๊ยว ไปข้อ 12
ข. สร้อยคอห้อยจี้เส้นเล็กๆ น่ารัก ไปแบบ D
เฉลย.. แบบ A เค้าอายุมากกว่าเธอมากคนขี้อ้อน ต้องการการดูแลเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลาอย่างเธอ เหมาะที่จะเลือกผู้ชายที่มีวุฒิภาวะและอายมากกว่าเธอมากๆ อย่างน้อย 5 ปี ซึ่งจะทำให้เธออุ่นใจได้ โดยที่หนุ่มวัยเดียวกับเธอคงยากที่ให้ได้ ช่องว่างระหว่างวัยที่ห่างกันมากอย่างนี้ ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ถ้าหากเธอนิยามว่า ความรักคือศรัทธา และเค้าก็เป็นผู้ใหญ่ที่ตามใจเด็กงอแงอย่างเธอ เธอจะติดใจจนไม่อยากมีแฟนเด็กอีกเลยล่ะ
แบบ B เขาอายุมากกว่าเธอ 3-5 ปี อย่างเธอนี่ ถ้าเป็นผู้ชายอายุเท่ากันๆ เธอจะรู้สึกว่า เค้าเด็กจัง แต่ถ้าอายุห่างกันมากไปก็จะเกิดช่องว่างระหว่างวัยอีก ซึ่งถ้าเค้าโตกว่าเธอซัก 3-4 ปี คงกำลังดี เธอกับเค้าจึงสามารถเป็นได้ทั้งแฟนและพี่น้องที่เข้าใจกันได้ ไม่ใช้น้าหลานที่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะอายุห่างกันเกินไป
แบบC เขาอายุไล่เลี่ยกัน เธอชอบที่จะคบกับเพศตรงข้ามแบบเพื่อนมากกว่า จะได้คุยกันได้ในทุกๆ เรื่อง ความคิดอ่าน คล้ายคลึงกัน คบกันแบบไม่ต้องมีพิธีรีตรองมาก เธอจึงควรเลือกหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะเธอต้องการแฟนที่ให้ความเป็นเพื่อนสูง ต้องการการพูดคุยและสิทธิที่เสมอภาคกัน แฟนที่อายุเท่าๆ กัน จึงเป็นคำตอบสุดท้ายของเธอ
แบบ D เขาเด็กกว่า เธอเป็นผู้หญิงที่มีสัณชาตญาณ ความเป็นแม่สูง ชอบดูแลเป็นธุระให้ใครๆ แม้แต่แฟนเธอจะมีความสุขมากเมื่อได้คอยเอาใจใส่และทำอะไรๆให้กับแฟนซึ่งจะให้เหมาะ ก็ควรเลือกแฟนที่เป็นเหมือนน้องชายไปด้วยซึ่งก็ต้องอายุน้อยกว่าเธอนั่นเอง ก็ต้องยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากๆ ที่สามารถทำให้รุ่นน้องมาหลงใหลได้ปลื้มจนใครๆ ต้องอิจฉาเธอ เปรียบได้กับคู่รักฮอลลีวูดอย่าง เดมี่ มัวร์ กับ แอชตัน คุชเช่อร์ รักต่างวัย 10 ปี ที่ดูดดื่มจนสาวๆ อิจฉา ตาลุกเป็นไฟ เพราะสาวแก่ งาบไก่อ่อนสุดหล่อไปทานสบายปาก

10อันดับนางแบบ

นอกจากจะมีรูปร่างหน้าตาสวยสดงดงามเป็นที่ "น่าอิจฉา" ผู้หญิงกลุ่มนี้ยังมี "รายได้" เป็นตัวเลขที่น่าอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างยิ่ง สมกับที่ใครเขาว่า คนสวยมีรูปเป็นทรัพย์จริงๆเธอเหล่านี้คือ เจ้าของ 10 อันดับในเดอะ เวิลด์"ส ท็อป-เอิร์นนิ่ง โมเดลส์ (The World"s Top-Earning Models) นางแบบที่มีรายได้มากที่สุดในโลก จากการสำรวจจัดเรียงอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ซึ่งประเมินรายได้ระหว่างเดือนมิถุนายน ปี 2551-เดือนมิถุนายน 2552
เจ้าของ อันดับ 1 ได้แก่ จีเซล บุนด์เชนสุดยอดนางแบบชาวบราซิลเลี่ยน วัย 28 ปี ที่มีรายได้ 25 ล้านดอลลาร์ (ราว 865 ล้านบาท) ด้วยค่าเหนื่อยที่มาจากการเป็นนางแบบให้กับกางเกงยีนส์ทรู ริลิเจียน ยีนส์, นาฬิกา Ebel, เครื่องสำอาง ดิออร์ นอกจากนั้นเธอยังเป็นเจ้าของรองเท้าแบรนด์ของตัวเองอีกด้วยอันดับ
2 ได้แก่ ไฮดี้ คลุม นางแบบชาวเยอรมัน วัย 35 ปี ที่กำลังจะเป็นคุณแม่ลูก 4 ในเร็วๆ นี้ มีรายได้ 16 ล้านดอลลาร์ (ราว 553.6 ล้านบาท) นอกจากนี้ ยังเป็นนางแบบให้กับชุดชั้นในชื่อดัง วิคตอเรีย"ส ซีเคร็ต เธอยังเป็นพิธีกรรายการโปรเจ็คต์ รันเวย์ และรายการสรรหานางแบบใหม่ เยอรมนี"ส เน็กซ์ ท็อป โมเดล แล้วยังออกแบบรองเท้าให้กับ Birkenstock, มีสัญญานางแบบกับไดเอ็ต โค้ก, รถโฟล์คสวาเกน, แมคโดนัล, บริษัทแอลจี แล้วยังออก แบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองชื่อ อิน แอน อินสแตนท์ (In An Instant)
อันดับ 3 เคต มอส นางแบบอังกฤษ วัย 35 ปี เจ้าของตัวเลขรายได้ 8.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 294.1 ล้านบาท) ถึงแม้เธอจะถูกสื่อ "จิกกัด" ว่า แก่และอ้วนขึ้น แต่เมื่อปีที่แล้วมอสก็ยังได้งานเป็นนางแบบให้ เวอร์ซาเซ่, ลองชอมป์ (Longchamp) ทั้งยังดีไซน์แบบเสื้อแฟชั่นให้กับ ท็อปช็อป ร้านแฟชั่นของอังกฤษด้วยอันดับ
4 เอเดรียน่า ลิมา รายได้ 8 ล้านดอลลาร์ (ราว 276.8 ล้านบาท) นางแบบสาวชาวบราซิลเลี่ยน เจ้าของตำแหน่งซุปเปอร์โมเดล ออฟ เดอะ เยียร์ (สุดยอดนางแบบแห่งปี) จากการจัดประกวดของฟอร์ด จากนั้นก็มาแจ้งเกิดจากชุดชั้นใน วิคตอเรีย"ส ซีเคร็ต, ได้เซ็นสัญญากับเครื่องสำอาง Maybelline ที่กำลังจะหมดสัญญาลงปีนี้ พร้อมข่าวดี เธอกำลังจะมีลูกกับมาร์โค จาริค สามีนักบาสเกตบอล
อันดับ 5 เดาท์เซ่น โคร รายได้ 6 ล้านดอลลาร์ (ราว 207.6 ล้านบาท) นางแบบชาวดัตช์ เจ้าของริมฝีปากสวยสะดุดตา ซึ่งได้เป็นเจ้าของตำแหน่งนางฟ้าของ วิคตอเรีย′ส ซีเคร็ต คนล่าสุด และมีงานโฆษณาเป็นนางแบบของเครื่องสำอางลอรี อัล และน้ำหอมอีเทอร์นิตี้ ของ คัลวิน ไคลน์อันดับ
6 อเลสแซนดรา แอมโบรซิโอ วัย 28 ปี รายได้ 6 ล้านดอลลาร์ เท่ากับอันดับ 5 รายนี้ก็เป็น สาวสวยชาวบราซิลเลี่ยนอีกคนที่มาได้ดีมีชื่อเสียงจาก วิคตอเรีย"ส ซีเคร็ต และเป็นหนึ่งในทีมนางฟ้าของชุดชั้นในชื่อดังของอเมริกา หลังจากคลอดลูกได้แค่ 3 เดือน อเลสแซนดราก็หวนคืนแค็ตวอล์กด้วยหุ่นที่ฟิตเฟิร์ม และยังเซ็นสัญญากับ C&A ห้างค้าปลีกในยุโรป อันดับ
7 นาตาเลีย โวเดียโนวา 5.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 190.3 ล้านบาท) นางแบบชาวรัสเซียที่มาจากเด็กสาวยากจน เมื่อ รวยแล้วทุกวันนี้เธอจึงตั้งกองทุน Naked Heart Foundation ที่หาทุนสร้างสนามเด็กเล่นในรัสเซีย เธอเป็นนางแบบให้กับน้ำ หอม Guerlain ของ คัลวิน ไคลน์ และเป็นนางแบบให้กับเครื่องประดับ Jacob & Co
อันดับ 8 ดาเรีย เวอร์โบวี่ 4.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 155.7 ล้านบาท) นาง แบบลูกครึ่งแคนาเดี้ยน-โปแลนด์ ที่ปรากฏโฉมในโปสเตอร์โฆษณาของ Balmain และ H&M แล้วยังเป็นนางแบบให้กับแฟชั่นแว่นตาของ โว้ก และ โรเแบร์โต คาวัลลิอันดับ
9 มิแรนดา เคอร์ 3 ล้านดอลลาร์ (ราว 103.8 ล้านบาท) นางแบบสาวชาวออสเตรเลียคนแรก ที่ติดอยู่ในทีมนางฟ้าแสนสวยของ วิคตอเรีย"ส ซีเคร็ต เธอเคยเป็นนางแบบให้กับเครื่องสำอาง Maybelline และ XOXO.
อันดับ 10 แคโรลีน เมอร์ฟี่ย์ 3 ล้านดอลลาร์ (ราว 103.8 ล้านบาท) นางแบบสาววัย 35 ปี ซึ่งปรากฏโฉมเป็นนางแบบของเครื่องสำอาง เอสเต้ ลอเดอร์ มายาวนาน ล่าสุดเธอยังเซ็นสัญญากับ Banana Republic และ Lord & Taylor ด้วยค่าตัวที่สูงเอาการ

คนที่ใช่กับคนที่ชอบ

เพื่อนผม เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง เธอหน้าตาดี เราเรียนจบมาในคณะเดียวกัน หลังจากเรียนจบมาได้ ปีกว่าๆ ผมก็ได้รับการ์ดเชิญไปงานแต่ง วันแต่งงานของเธอ เธอดูสวยและสดใสเหมือนเดิม ดูท่าแล้วเธอคงจะเจอเนื้อคู่ ตามที่เธอใฝ่ฝันไว้แล้วจริงๆ เพื่อนสาวในกลุ่มของเธอถึงกับตาร้อนพ่าว อยากออกเย้าออกเรือนเหมือนกับเธอบ้าง ผ่านไปได้เกือบปีกว่าๆ ผมก็ได้ข่าวว่า เธอได้คลอดลูกแล้ว พวกเพื่อนๆ รวมทั้งผม ก็ได้ตามไปเยี่ยมเธอที่บ้าน เธอคงเป็นคนโชคดีคนหนึ่งที่ผมเห็น เพราะทั้งสามีและครอบครัวของเธอ ดูมีความสุขกันถ้วนหน้า เพื่อนๆ ต่างล้อเธอว่า เธอเหมือนถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เพราะเธอได้สามีที่แสนดี ผมเองก็รู้สึกเช่นนั้น เพราะมันช่างแตกต่างจากหลายๆ คู่ที่ผมเคยได้ยินมา เวลาผ่านไปอีกปีกว่าๆ เช่นเคย ผมก็ได้รับข่าวว่าเธอคลอดลูกแล้วอีกคน ชีวิตเธอทำเอาผมเริ่มรู้สึกอยากมีชีวิตคู่ขึ้นมาทันที ผมไปเยี่ยมเธอเหมือนครั้งที่แล้ว แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดูเธอมีความสุขที่ได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้ เธอเองก็บอกกับผมเช่นนั้น ชีวิตครอบครัวของเธอลงตัวกันได้อย่างดี สองปีผ่านไป เพื่อนในกลุ่มของเราแต่งงาน ผมได้เจอเธออีกครั้งในงานแต่งนี้ หลังเลิกจากงาน ผมอาสาพาเธอไปส่งบ้าน ตลอดเส้นทางเธอทำให้ทัศนคติของผมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เธอได้เอ่ยคุยถึงเรื่องครอบครัว ผมบอกว่าเธอโชคดีที่ได้สามีคนนี้ แล้วเธอก็บอกกับผมว่า ไม่มีใครดีที่สุด ทุกคนย่อมมีข้อเสียและข้อดีแตกต่างกัน เขาก็มีข้อเสีย เราก็มีข้อเสีย แต่เมื่อแต่งงานกันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคู่อยู่ได้คือ การให้อภัย และ การปล่อยวาง ไม่ใช่เธอไม่เคยเจอเรื่องที่ไม่พอใจ เพียงแต่เธอไม่ทำให้เป็นเรื่องมากกว่า ผมก็แอบชื่นชมเธออยู่ในใจ สักพักเธอก็พูดขึ้นมาว่า รู้ไหมแก บางครั้งฉันยังแอบคิดถึง คนที่ฉันเคยแอบรักเขาอยู่เลย ยังคงแอบคิดถึงอยู่เป็นประจำ แต่แกรู้ไหม ฉันรู้ดีว่า คนที่ฉันรักมันไม่ใช่คนที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วย ผมทำหน้างงๆ เธอยิ้มแล้วพูดต่อว่า คนที่เรารักบางครั้งอาจไม่เหมาะที่จะมาใช้ชีวิตอยู่คู่กับเรา เขาเหมาะเพียงแค่ให้เราได้ แอบรัก แอบคิดถึง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เรารู้ดีว่าคนที่จะอยู่กับเราได้นั้นต้องเป็นยังงัย ฉันเองก็เลือกถูกต้องแล้ว ชีวิตคู่สมัยนี้คิดแต่ จะเลือกเฉพาะคนที่เรารัก แต่ไม่ได้มองว่าเขากับเราจะเข้ากันได้ไหม เขาเป็นคนยังงัย จนกระทั้งอยู่ด้วยกันจริงๆ เมื่อความรักหายไป ความเป็นตัวตนที่แท้จริงก็ออกมา อะไรที่ทำแต่ก่อนไม่เคยสนใจ เดี๋ยวนี้นิดหน่อยก็ขัดหูขัดตา แล้วก็มาจบลงด้วยการหย่าร้าง แกเชื่อเถอะว่า เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆ แล้ว ความรักมักมาช้ากว่าอย่างอื่นเสมอๆ หากเราจะเลือกใครเป็นคู่ชีวิตสักคน เราควรจะมองเขาให้มากกว่าความรัก ผมขับรถมาถึงหน้าบ้านเธอพอดี สามีเธอออกมารับ สองคนพากันเข้าบ้าน ดูความรักของเธอและครอบครัวก็อบอุ่นดี หลังจากผมขับรถกลับ ผมก็คิดได้ทันทีว่า บ่อยครั้งคนที่อยู่เคียงข้างผมมักถามผมว่า เมื่อไหร่จะแต่งงานสะที แต่ผมกับคิดถึงแต่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ผมแอบหลงรัก จนลืมความจริงไปว่า เราควรอยู่กับสิ่งที่ใช่มากกว่าพยายามเรียกร้องหาสิ่งที่เป็นเพียงความว่างเปล่า คำพูดของเธอทำให้ผมมองชีวิตคู่เปลี่ยนไป และเปิดใจรับกับการแต่งงานมากขึ้น จนกระทั้งวันนี้ ผมมีลูกแล้วสองคน กับภรรยาที่ผมเลือกแล้วว่าเธอควรค่ากับการเป็นแม่ของลูกผม แล้วคุณล่ะ จะเลือก คนที่ใช่ หรือว่า คนที่ชอบ!!

เทคนิคออกเดท

เทคนิคออกเดทเดทแรกเรียกได้ว่าเป็นอะไรที่เครียดสุดๆ และยิ่งเมื่อใกล้วันสำคัญของคุณเข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ ความกลัวและความตระหนกในตัวเองของคุณก็มักจะพุ่งขึ้นมาตามลำดับ ฉันควรจะสวมชุดอะไรดี สีนี้จะเข้ากับฉันมั้ย รองเท้าส้นสูงของฉันทำให้ฉันดูสูงสง่าพอหรือยัง และที่สำคัญคงไม่พ้นคำถามที่ว่า ฉันดูสวยพอมั้ย เพราะสาวๆทุกคนย่อมปรารถนาที่จะเป็นผู้หญิงที่ดูสวย เซ็กซี่และน่ารักที่สุดในเดทแรกของตัวเองอยู่แล้วและนี่คือเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจในเดทแรกของคุณให้มากขึ้น
1.ทำให้เป็นเรื่องธรรมดา คุณไม่ต้องมัวสารวนคิดตลบหน้าตลบหลัง รื้อเสื้อผ้าจากตู้มากองเต็มพื้นมาหาชุดเก่งที่จะทำให้คุณดูเริ่ด เพราะแทนที่คุณจะเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ คุณน่าจะเอาเวลามาคิดถึงเรื่องการเดทของคุณมากกว่า ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน และคุณจะคุยเรื่องอะไร เพราะการจะสร้างความประทับใจในครั้งแรกนั้น คือการเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
2.สวมรองเท้าที่ใส่สบายสาวๆหลายคนคิดว่าการสวมรองเท้าส้นยิ่งสูงปรี๊ดเท่าไหร่ จะช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น แต่คุณต้องรำลึกเสมอว่าในเดทแรกของคุณ ไม่ใช่แค่คุณจะไม่รู้จักคู่ควงของคุณดีพอ ยิ่งกว่านั้นคุณยังไม่รู้ว่าการเดทในวันนี้ของคุณจะไปจบลงที่ไหน มันคงไม่น่าสนุกเลยที่คุณสวมรองเท้าส้นสูงไปรับประทานดินเนอร์สุดหรูที่ทางเดินเป็นโขดหินเรียงราย หรือเป็นพื้นหญ้า ที่ส้นรองเท้าของคุณจะจมดินทันทีที่เหยียบลงไป นอกจากนี้การสวมรองเท้าที่ใส่ไม่สบายยังทำให้คุณอารมณ์เสียและอาจทำลายแผนการเดทสุดเริ่ดของคุณอีกด้วย
3.อย่าเมกอัพหนาเกินไปเพราะผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่ชอบคู่เคทที่แต่งหน้าจัด ราวกับกำลังควงคู่กับนักแสดงละครเวที ซึ่งหนุ่มๆส่วนใหญ่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบใบหน้าที่ดูเป็นธรรมชาติของสาวๆมากกว่า ทางที่ดีขอแนะนำว่าหากคุณจะแต่งด้วยสโมกกี้อาย หรือทาลิปแดง ควรเก็บไว้ในการเดทครั้งที่ 3 ดีกว่า
4.พกอุปกรณ์สำหรับปักเย็บติดไว้ในกระเป๋าตามกฎของเมอร์ฟี่บอกไว้ว่า ในระหว่างที่การเดทของคุณกำลังดำเนินไปด้วยดี ย่อมมีอุปสรรคใหญ่หลวงรออยู๋ และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ถือคติกันไว้ดีกว่าแก้ คุณต้องไม่ลืมที่จะพกร่มพับ หรือ สเปรย์พริกไทย มินต์ ยาเคลือบเงาเล็บ (เพื่อกรณีเสื้อตัวเก่งของคุณเกิดการรุ่ย) และอุปกรณ์ตัดเย็บ

เคล็ดลับง่ายๆหากอยากเป็นคนฮ็อต

"เพราะการมีบุคลิกดี มีชัยไปกว่าครึ่ง" ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ขออาสาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ (Stylish Consultant) แนะนำเทคนิคการสร้างบุคลิกภาพที่น่าเชื่อถือให้กับสุภาพบุรุษ ด้วยการปรับจุดด้อยให้เป็นจุดเด่นกับ 5 เคล็ดลับ (Tricks) ที่สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์แบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก ให้กลายเป็นหนุ่มฮ็อตเริ่มที่เคล็ดลับแรก "ผอมเพรียวแบบง่ายๆ" (Simply to Slim) สำหรับผู้ชายที่รูปร่างใหญ่ ให้สวมเสื้อเชิ้ตที่พอดีตัว ใช้สีเอิร์ธโทน หรือเฉดสีคลาสสิคช่วยพรางหุ่นให้ดูสมาร์ท สวมสูทสีเข้มเพิ่มความภูมิฐาน พร้อมสวมกางเกงเอวต่ำช่วยพรางช่วงสะโพกให้สมส่วนมากขึ้น เคล็ดลับที่ 2 "หนุ่มสไตล์เทรนดี้ที่ดูทันสมัย" (Easy ! to be Trendy Man) สวมเชิ้ตลายทาง ทรงสลิมฟิต หรือเชิ้ตลายสก๊อตช่วยเพิ่มความเทรนดี้
เคล็ดลับที่ 3 "ทางลัดแก้ปัญหาผู้ชายตัวเล็ก ด้วยลุคให้ดูสูง มีสง่า ราศี" (Tips to Look Taller) เลือกเสื้อคัตติ้งสไตล์สลิมฟิต เข้ารูปนิดๆ สวมเข็มขัด ตัวช่วยสำคัญที่ให้รูปร่างดูสูงขึ้น กางเกงทรงยาวพอดี ไม่กองพื้น จะช่วยให้ขาดูยาวขึ้น อย่าใส่กางเกงขาพอง หรือตีเกล็ด
เคล็ดลับที่ 4 "สลัดคราบหนุ่มขี้อาย" (Time to be Hot Guy) ใส่ยีนส์เดฟกับ เสื้อโปโล แล้วพับแขนทำให้ดูแมนขึ้น หรือใส่กางเกงทรงเบอร์มิวด้ากับรองเท้าผ้าใบ เคล็ดลับสุดท้าย "หนุ่มขี้เล่น ด้วยแฟชั่นสีสันสดใส" (Open Mind & Find Your Color) เพิ่มลูกเล่นให้เสื้อยืดสีฟ้าสดใส ด้วยเสื้อนอกลายสก๊อตสีส้มแมทช์กับยีนส์สุดเท่ หรือกับเสื้อสีม่วงขรึม กับเสื้อสว่างสดสีเขียว สวมรอง เท้าสปอร์ต และกางเกงเฉดสีเบจ-น้ำตาล ช่วยทอนความหวานและดึงเสน่ห์สดใสของสีเสื้อ เคล็ดลับง่ายๆ เปลี่ยนลุคส์ให้ฮ็อต

กล่องความสุขของหนูดี

เคล็ดลับเผชิญทุกข์ของ หนูดี วนิษ เรซ ข้อแรก ร้องไห้ ข้อสอง หาแม่ ข้อสาม ตั้งสติแล้วทำใจ ที่สำคัญต้องไม่กลัวตอนนี้ หนูดี-วนิษา เรซ กำลังออกไปเปิดโลกทัศน์ใหม่ นั่งเรียนวิชาแฟชั่นที่ Marangoni ในปารีส อีก 1 เดือนถึงจะกลับเมืองไทย... เป็นกฎอย่างหนึ่งของเจ้าตัวว่า ในแต่ละปีต้องหาเวลาเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เมื่อต้นปีหนูดีเพิ่งไปเข้าอบรมหลักสูตรเพาะเห็ดอยู่ 5 วันที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพราะเคยฝันไว้ว่าอยากเป็นเจ้าของฟาร์มเห็ด ตอนนี้หลังจากทำงานจนพีคสุด เสร็จสิ้นภารกิจวางแผงและเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ลำดับล่าสุด "อัจฉริยะสร้างสุข" เธอเลยให้รางวัลตัวเองรอบใหม่ พักสมองไปเรียนรู้เรื่องแฟชั่นและการแต่งตัว เพราะรู้ตัวดีว่ายังเลือกเสื้อผ้าไม่ค่อยเก่งเมื่อเดือนมิถุนายน "อัจฉริยะสร้างสุข" ถูกพิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 อีก 50,000 เล่ม หลังจากยอดพิมพ์ครั้งที่ 1 จำนวน 100,000 เล่ม ทั้งๆ ที่เพิ่งจะวางแผงไปได้เพียงแค่สัปดาห์เดียว และขึ้นแท่นติดอันดับหนังสือขายดีอันดับท็อปของร้านซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์...ดูเหมือนว่าแฟชั่น "หิวความสุข" กลายเป็นกระแสที่เกิดขึ้นในทุกมุมโลก"หนังสือเล่มนี้อยู่ในใจหนูดีมานาน เพราะว่า คนเราต่อให้เก่งแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีความสุข ก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก่ง"หนังสือเล่มนี้อยู่ในหัวมานาน 3 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยยังสะพายเป้ไปเข้าห้องเรียนวิชา "วิทยาศาสตร์แห่งความสุข" ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา เธอตั้งใจว่าอยากนำความรู้ที่ค้นพบจากงานวิจัยเกี่ยวกับความสุขและสมองมาเล่าสู่กันฟัง ทำอย่างไรคนธรรมดาๆ ที่ต้องใช้ชีวิตธรรมดาๆ ถึงจะมีความสุขขึ้นได้บ้าง คิดอย่างไรจึงจะทำให้สมองสร้างความสุขได้ดีกว่าเดิม เราจะฝึกสมองของเราอย่างไรดี ฯลฯเธอหวังว่า อย่างน้อยที่สุดคนที่อ่านหนังสือเล่มนี้จบ น่าจะกลัวความทุกข์น้อยลง หันมาปรับขนาดกล่องความสุข พอใจในสิ่งธรรมดาที่สุดว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและพิเศษที่สุดในชีวิตแล้ว เพียงเท่าที่เรามีอยู่ในชีวิต นั่นก็เพียงพอที่จะสร้างความสุข"จากจุดเริ่มต้นของเม็ดทรายที่หลุดเข้ามาในเปลือกหอยมุก เคยเป็นสิ่งแปลกปลอมที่น่ารำคาญ หอยมุกจึงสร้างเคลือบมันวาวออกมาห่อหุ้มเม็ดทรายจนในที่สุดกลายเป็นไข่มุกเม็ดงาม ถ้าเราเรียนรู้และค้นพบ เปลี่ยนความอึดอัดในชีวิตให้กลายเป็นสิ่งสวยงามได้เหมือนกับไข่มุกย่อมเป็นสิ่งที่ดี"หนังสือเล่มนี้เล่าถึงคู่มือดูแลสมองให้ฉลาดและความสุข แต่สำหรับความทุกข์แล้ว หนูดีมีวิธีจัดการความทุกข์ของตัวเองอย่างไรเธอหัวเราะอารมณ์ดี บอกว่า เวลาทุกข์ใจอย่างแรกเลยคือ ร้องไห้ไว้ก่อน"สิ่งหนึ่งที่เป็นความโชคดี คือหนูดีได้มีโอกาสฝึกปฏิบัติธรรม สายที่ฝึกเป็นสายที่พยายามไม่ยึดติดสุข ขณะเดียวกันก็ไม่กลัวทุกข์ เป็นการฝึกปล่อยวาง แต่แน่นอนว่าเรายังไม่ได้บรรลุขนาดนั้น ถ้ามีความทุกข์อันดับแรกเลยคือร้องไห้ก่อน"อันดับที่สองคุยกับแม่ อันดับต่อมาคือตั้งสติแล้วก็ทำใจ (หัวเราะ) จริงๆ แล้ว ชีวิตหนูดีเคยเจออะไรที่เรียกว่าเป็นความทุกข์มาเยอะมากนะคะ แต่ถ้ามองย้อนชีวิตในวัยที่เปลี่ยนไป มุมมองก็เปลี่ยนไป เลยกลัวความทุกข์น้อยลง เอาแค่ไม่กลัวความทุกข์ หนูดีว่าชีวิตก็มีความสุขแล้วนะ" เธอพูดพร้อมกับรอยยิ้มสดใสเช่นเคย

วิธีสร้างตนให้เป็นคนสำคัญ

วิธีสร้างตนเป็นคนสำคัญกลยุทธ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ช่วยให้ได้รับความร่วมมือจากผู้ร่วมงาน และทำให้เจ้านายจำคุณได้
1. เสนอความคิดที่เป็นประโยชน์ การแนะนำความคิดถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถต่อผู้ร่วมงานและเจ้านายของคุณ
2. เป็นผู้อยู่เหนือความสำเร็จ ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถแสดงให้ใคร ๆ เห็นว่าคุณเป็นมืออาชีพ นั่นจะทำให้คุณ ได้รับการสนับสนุนในเวลาต่อมา ใช้เวลาอีกสักนิด หาวิธีสร้างผลงานได้เกินเป้าหมาย
3. เรียนรู้จากความผิดพลาด การปฏิเสธความผิดถือว่าใช้ไม่ได้และไม่ใช่มืออาชีพ จงแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่ เกิดขึ้นด้วยคำว่า "เสียใจ" หรือ "ขอโทษ" จะทำให้คุณได้รับความชื่นชม แล้วหาวิธีไม่ให้เกิด ความผิดพลาดซ้ำอีก
4. เป็นนักแก้ปัญหา อย่ารีรอที่จะบอกเจ้านายหากคุณมองเห็นวิธีปรับปรุงระบบงานให้ดีขึ้น เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ และเป็นนักแก้ปัญหา พยายามคิดอยู่เสมอว่า จะมีวิธีใดที่ช่วยให้ผู้ร่วมงาน ทำงานได้สะดวกขึ้น แล้วรางวัลก็จะเป็นของคุณในท้ายที่สุด
5. ประเมินผล ขอให้เจ้านายประเมินผลการทำงานของคุณทุกหกเดือน นั่นแสดงให้เห็นว่า คุณมีการเตรียม พร้อมต่อหน้าที่อยู่เสมอ ลองหาว่าเจ้านายมองเห็นจุดอ่อนใด ๆ ของคุณแล้วพยายามทำให้ได้ตาม ที่เขาหรือเธอต้องการ หากเจ้านายไม่มีเวลาให้คุณในเรื่องนี้ ลองถามว่า อะไรคือ จุดแข็งของคุณ และอะไรคือสิ่งที่เจ้านายต้องการให้คุณปรับปรุงแก้ไข เมื่อทราบแล้วก็ตั้งเป้าการทำงานองคุณขึ้น เอง
6. มองภาพรวม สนับสนุนความสำเร็จในอนาคตขององค์กร เช่น คิดหาช่องทางใหม่ ๆ ทางการตลาด รวบรวมแหล่ง เงินทุนใหญ่ ๆ หรือระดมสมองให้องค์กรเป็นที่รู้จักแก่สาธารณชนมากขึ้น พนักงานไม่ใช่มีคุณค่า เพียงแค่การปฏิบัติงานตามหน้าที่เท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สิ่งที่พวกเขาทำให้เกิดกับองค์กร เพื่อความเติบโตและเจริญก้าวหน้า คุณต้องให้ความสำคัญกับผู้บริหารอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะ เจ้านายของคุณคนเดียว

คุณสมบัติคนไร้เสน่ห์

มีคนหลายๆ คนที่เป็นคนดี สวย หล่อ รวย และเก่ง แต่เป็นคนไร้เสน่ห์ หาคนชอบพอคบหาเป็นแฟนหรือเป็นคู่ครองระยะยาวได้ยาก ลองรวบรวมลักษณะของคนที่ไร้เสน่ห์ ที่ทำให้คนไม่อยากอยู่ใกล้ไว้ดังนี้
1.พูดเสียงดังและห้วน แบบมั่นใจมากๆ เขาอาจจะคิดว่าเป็นลักษณะของคนมั่นใจตัวเองสูง แต่คนได้ยินจะรู้สึกเหมือนถูก ข่มขู่ ตัดบท ผลักใส และเผด็จการ
2. มีวิธีการพูดที่เป็นพิษ เช่น ชอบพูดแทรก พูดตัดบทไม่เกรงใจ เป็นลักษณะของคนใจแคบ เผด็จการทางความคิด เอาตัวเองเป็นใหญ่
3. ทำเฉยเมยเวลาพูด เฉยเพราะเบื่อหน่ายชีวิต รำคาญ หรือเพราะหยิ่ง ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเวลาไปกินอาหารตามร้านที่ขายดีๆ พนักงานจะแสดงท่าทางเฉยเมยกับลูกค้า ใครสั่งอะไรก็ไม่สนใจ ไม่รับคำสั่ง บางคนยังทำท่าทางเข้มๆ แข็งๆ กระแทกกระทั้น เวลาส่งของให้ เคยมีลูกค้าบางคนเหลืออด สุดทนทาน ระเบิดอารมณ์ใส่สาวเสริฟว่า "อี...มึงจะขายหรือไม่ขายวะ ทำหยิ่งยะโส เดี๋ยวโดนดี" ได้ผลครับ..ทุกคนตะลึงสาวเสริฟมาดเข้มหน้าซีด รีบแก้ตัวแล้วเดินหนีไป กว่าจะออมชอมกันได้เกิดวางมวยกลางร้านอาหาร
4. แต่งตัวไม่เป็น อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า "เชย" ทำให้คนที่ไปด้วยไม่เกิดความรู้สึกภูมิใจ รู้สึกเสียหน้าหรืออาย
5. ไม่มีจริต พบในผู้หญิงดีๆ หลายๆ คนที่มีลักษณะเรียบๆ ตรงๆ (บางคนบอกว่าเข้าข่ายทึ่มๆ) ควรมีจริตพองาม ให้แลดูเป็นธรรมชาติ และควรมีมารยาทในการเข้าสังคมในวาระต่างๆ ด้วย
6. มีนิสัยเอาแต่ได้ ชอบเป็นฝ่ายรับ ไม่เคยคิดจะให้อะไรใคร เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
7.ห่วงและกังวลในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากไป ทำให้คนที่อยู่ใกล้รำคาญและหมดอารมณ์สุนทรีย์ไปด้วย
8. ชอบทำความดีจนเบียดเบียนตัวเองและคนใกล้ตัว เช่น ชอบช่วยคนอื่นจนทำให้ตัวเองและคนใกล้ตัวลำบาก ห่วงใยคนอื่นจนลืมห่วงใยคนรักหรือคนใกล้ตัว คนใกล้ตัวจะน้อยใจและคิดว่าไม่สนใจเขา
9. ฉลาดแบบเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์
10. สนใจเรื่องเซ็กส์มากเกินไป ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญหรือรังเกียจ
11. แสดงความเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป ทำให้ขาดอารมณ์ขัน ทุกอย่างเอาจริงเอาจังไปหมด คนที่ไร้เสน่ห์นี้ไม่ใช่คนทำผิดหรอก เป็นแต่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ถูกใจเพื่อนมนุษย์เพื่อยึดความสัมพันธ์ดีๆ ออกไป ในอนาคตจะมีคนไร้เสน่ห์มากขึ้น ถ้าแต่งงานกันไปแล้ว ปรากฏว่าคู่สมรสเป็นคนไร้เสน่ห์ ก็เป็นสาเหตุให้อย่าร้างกันได้ในหลายๆคู่ เรื่องของเสน่ห์ จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับความรักและชีวิตคู่

อย่าพยายามให้คนอื่นเหมือนเรา

รายงานโดย :เกรียงศักดิ์ นิรัติพัฒนะศัย: วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 ผมพบไพโรจน์เพื่อนเก่า “เดี๋ยวนี้นายทำอะไรนะ เห็นออกทีวีหลายครั้ง”ผมเล่าเรื่องการโค้ชผู้บริหารเป็นรายบุคคลให้เขาฟัง “ส่วนใหญ่ผู้บริหารเขาให้นายโค้ชเรื่องอะไร” “เรื่องการทำให้ทีมงานเก่งขึ้น การจัดการความเครียด และการฟัง” “ดีเลย เรามีเรื่องเครียดจะปรึกษานายพอดี เราไปทำงานเก็บเงินที่อเมริกาหลายปี กลับมาก็เลยเกษียณได้เร็วหน่อย เราน่าจะมีความสุขดีนะ แต่ว่าเรามีลูกสาวอายุ 19 แล้ว เรียนเก่งมากเลย เอนทรานซ์ติด 4 แห่ง รวมทั้งมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงด้านวิศวกรรมในจีนด้วย แต่ว่าในที่สุดเธอตัดสินใจเรียนวิศวะในไทย ลูกสาวผมเป็นเด็กในฝันเกือบทุกด้าน ยกเว้นตอนเช้า ผมต้องไปส่งเธอที่มหาวิทยาลัย ปกติผมต้องใช้เวลาในการขับ 40 นาที แบบสบายๆ แต่ว่าเธอทำไม่ได้ ส่วนใหญ่เพราะตื่นสายหรือไม่ก็เอ้อระเหย โดยเฉลี่ยอาทิตย์ละ 3 วัน ที่ผมต้องเครียดเพราะเธอเหลือเวลาให้ผมขับไปเพียง 30-35 นาที ผมจะทำไงดี” “ไพโรจน์ อะไรทำให้คุณเครียด” “ลูกสาวผมไง” “แน่ใจหรือ” “เอ้อ...อาจจะเป็นตัวผมเองมั้ง” “ไพโรจน์ นายรู้สึกอย่างไรเวลาลูกสาวช้า” “โกรธหรือไม่ก็หงุดหงิด แต่เราเก็บไว้ในใจนะ แต่ว่าใจนี่สั่นเลย ความดันขึ้นปรี๊ด หน้าแดงจัดเลยละ” “นายว่านายมีทางเลือกที่จะไม่โกรธหรือหงุดหงิดไหมล่ะ” “ฉันมีทางเลือกหรือ” “เราจะเล่าเรื่องหนึ่งให้นายฟัง จากหนังสือ มนุษย์ ความหมาย และค่ายกักกัน ของ วิกเตอร์ อี แฟรงเกิ้ล แปลโดย อรทัย เทพวิจิตร ผู้เขียนเป็นนักจิตวิทยาชาวยิวที่ถูกนาซีจับไปอยู่ในค่ายกักกันเป็นเวลานาน เขาเขียนว่า ผู้เขียนเริ่มชิงชังสภาพทุกสิ่งทุกอย่าง ที่บีบบังคับให้ผู้เขียนต้องตกอยู่ในสภาพจำยอมทุกวัน ทุกชั่วโมง ผู้เขียนจะคิดถึงแต่เรื่องไร้สาระหยุมหยิมทำนองนี้เสมอ จนกระทั่งต้องฝืนเบนความคิดไปสนใจเรื่องอื่นบ้าง ทันใดนั้น ผู้เขียนก็เห็นตนเองยืนอยู่บนยกพื้นในห้องบรรยายที่มีแสงสว่างพอดี อากาศอบอุ่น และสภาพภายในห้องน่าพอใจ ตรงหน้าจะมีคนฟังคนหนึ่งนั่งบนเก้าอี้บุลายยกดอกชวนสบาย ท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังขณะผู้เขียนกำลังบรรยายจิตวิทยาของชีวิตในค่ายกักกัน พอคิดดังนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่บีบคั้นกดดันในเวลานั้น ก็กลายเป็นเหตุการณ์ที่เรามองโดยปราศจากความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง ได้รับการพิจารณาและอรรถาธิบายเชิงวิชาการ และวิธีนี้ทำให้ผู้เขียนสามารถพาตนเองอยู่เหนือเหตุการณ์ เหนือความทรมานที่ได้รับในขณะนั้นได้เป็นผลสำเร็จ และผู้เขียนก็สังเกตเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นราวกับมันกลายเป็นเรื่องราวในอดีตไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งตัวผู้เขียนและความยากลำบากที่เผชิญอยู่ กลายเป็นประเด็นการศึกษาทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ศึกษาก็คือตัวผู้เขียนเอง ด้วยการรู้สภาวะจิตของตนเอง และจินตนาการอีกหน่อย ผู้เขียนก็สามารถเลือกมองสถานการณ์ให้เป็นบวกได้” “ไม่ง่ายเลยนะ” “ไพโรจน์ เวลานายเครียด ร่างกายจะผลิตสารเคมีสองตัวคือ คอร์ติโซน และอะดรีนาลิน ซึ่งทำหน้าที่ทำให้เรามีพลังในการสู้หรือหนี เป็นกลไกการเอาตัวรอดตั้งแต่เราเป็นมนุษย์หินในอดีต หากเราไม่ได้ใช้พละกำลังเมื่อเกิดสารเคมีนี้ขึ้น มันจะเริ่มส่งผลเสียทำร้ายร่างกายเราเอง จนเป็นสาเหตุของโรคและผลข้างเคียงที่มีโทษต่อตัวเราเอง หากเราเครียดบ่อยๆ และไม่ได้ออกกำลังกาย ในที่สุดก็ต้องไปหาหมอ” “ผมมีทางเลือกว่าจะทำร้ายตนเอง หรือจะมองบวกดีใช่ไหมครับ” “ใช่แล้ว นายคิดว่าจะมองสถานการณ์ของลูกสาวนายให้เป็นบวกได้อย่างไรบ้างล่ะ” “เราก็อาจจะคิดว่าที่จริงลูกเราก็ไปโรงเรียนทันเสมอ นอกจากนี้ เรายังโชคดีที่ลูกสาวเราก็กลับมานอนบ้านได้ทุกคืน ไม่หนีเที่ยวหรือเตร็ดเตร่เถลไถล นอกจากนี้ เรายังได้ฝึกขับแบบสร้างสรรค์โดยใช้เวลาให้น้อยลงด้วย แต่ว่าเราอยากให้ลูกเรารับผิดชอบมากกว่านี้ ตรงเวลา และมีวินัยสูง เพราะว่ามันทำให้ชีวิตเราประสบความสำเร็จมาได้” “คนเราไม่เหมือนกันนะไพโรจน์ เราเห็นคนดีและเก่งที่มาสายบ้าง รับผิดชอบน้อยบ้างในบางเรื่อง หรือไม่มีวินัยแข็งขันแบบนายก็มีถมไป เราแต่ละคนประสบความสำเร็จด้วยวิถีของแต่ละคนไม่เหมือนกัน อย่าพยายามเปลี่ยนลูกนายให้เป็นแบบนายเลย”

ซ่อมได้

ถาม : อยากจะปรับปรุงห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุ ต้องคำนึงถึงเรื่องใดบ้าง? (คุณชัชณิชา กทม.)ตอบ : ห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุและเด็กเล็ก ไม่ว่าขนาดจะเล็กหรือใหญ่เพียงใด ต้องมีการออกแบบที่ดี มีการคำนึงถึงเรื่องของความปลอดภัย และการใช้งานอย่างสะดวกสบายไว้ด้วยเสมอ เพราะผู้สูงอายุและเด็กเล็กๆ ที่มักจะมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายเป็นพิเศษ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการลื่นหกล้ม จึงควรเลือกใช้วัสดุปูพื้นประเภทหินหรือกระเบื้องชนิดที่ไม่ลื่น ถ้าผิวกระเบื้องมีความหยาบ ความด้านมากเท่าใด ก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้การเลือกกระเบื้องปูพื้นแบบที่มีลวดลายในแผ่น จะช่วยเพิ่มแรงเสียดทานได้ดีขึ้นด้วย ควรเลือกใช้กระเบื้องขนาดเล็กจะดีกว่ากระเบื้องปูพื้นที่มีขนาดใหญ่ เพราะกระเบื้องยิ่งเล็กก็จะต้องมีการยาแนวถี่กว่ากระเบื้องแผ่นใหญ่ๆ ร่องยาแนวเหล่านี้จะช่วยทำให้เกิดแรงเสียดทานได้ดีเช่นกัน แต่มีข้อเสียอยู่บ้างตรงที่คราบสกปรกมักจะฝังตัวอยู่ตามร่องยาแนวนี้ จึงควรหมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ ห้องน้ำของบ้านที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ นอกจากการเพิ่มความปลอดภัยในห้องน้ำด้วยการปูพรมกันลื่นในอ่างอาบน้ำหรือพื้นห้องอาบน้ำ หรืออาจใช้เป็นแผ่นกันลื่นแบบที่มีกาวในตัวติดแยกเป็นระยะแล้ว ยังควรติดตั้งราวจับที่แข็งแรงไว้หลายๆ ที่ เพื่อใช้ยึดจับป้องกันไม่ให้หกล้มได้ง่าย เช่น บริเวณที่อาบน้ำ บริเวณโถปัสสาวะ ส่วนชักโครก ควรติดตั้งราวจับแบบที่เท้าแขนของเก้าอี้ โดยติดร่วมกับโถชักโครกเลย จะช่วยให้ผู้สูงอายุลุกได้อย่างสะดวก ส่วนเรื่องประตูห้องน้ำควรเป็นแบบเปิดออก ซึ่งจะแตกต่างกับประตูห้องน้ำทั่วๆ ไป ปลั๊กไฟในห้องน้ำต้องมีสายดินและมีฝาปิด และควรติดตั้งโทรศัพท์หรืออุปกรณ์กดเรียกขอความช่วยเหลือไว้ในห้องน้ำด้วย ถาม : กำลังจะทาสีบ้านเดิมใหม่ ช่างแนะนำให้ใช้วิธีพ่น เพราะจะทำงานได้เร็วและราคาไม่แพงจริงหรือเปล่า รบกวนช่วยตอบด่วน (คุณภัครภรณ์ กทม.) ตอบ : การทำสีบ้านพักอาศัยทั่วไปมีหลายแบบ เช่น การทาสีด้วยแปรงด้วยลูกกลิ้ง หรือแม้แต่การพ่น ซึ่งวิธีการแต่ละแบบก็จะให้ผลที่แตกต่างกันออกไป การทาสีด้วยแปรงเป็นวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะวิธีการค่อนข้างง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรมาก เพียงแค่มีแปรงทาสีที่มีคุณภาพและขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ที่จะทาก็ทำงานได้แล้ว แต่การทาสีด้วยแปรงอาจมีปัญหาตรงรอยต่อระหว่างแปรงและความเรียบเนียนของสีมักไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับแรง ความหนักเบาของคนทาด้วย ส่วนการทาสีด้วยลูกกลิ้งนั้นช่วยประหยัดแรงและเวลาได้มาก เหมาะกับพื้นผิวที่มีความเรียบมากๆ ปัจจุบันนี้ลูกกลิ้งทาสีจะมีวัสดุและลวดลายให้เลือกใช้มากมาย เช่น ลูกกลิ้งแบบผ้า ลูกกลิ้งแบบโฟม ลูกกลิ้งแบบฟองน้ำ ลูกกลิ้งขนแกะ ลูกกลิ้งกรุลาย ซึ่งวัสดุแต่ละแบบก็เหมาะกับงานที่แตกต่างกันออกไป ในการทาสีด้วยลูกกลิ้งมีสิ่งที่ควรระวังคือ ทุกครั้งที่กลิ้งสีแล้วจะเกิดฟองอากาศเล็กๆ บนพื้นผิว อาจแก้ไขด้วยการใช้แปรงที่แห้งสนิทลูบเบาๆ หลังการกลิ้งสีทันที สุดท้ายคือการทาสีด้วยเครื่องพ่น ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่สะดวกและประหยัด แต่น่าจะเหมาะกับอาคารขนาดใหญ่มากกว่า และต้องจัดหาเครื่องพ่นสีที่เหมาะกับพื้นที่ที่จะใช้งาน ส่วนมากการทาสีด้วยการพ่น สำหรับบ้านพักอาศัยมักเป็นเพียงการพ่นเพื่อการตกแต่งบางส่วนเท่านั้น เช่น การพ่นฝ้าเพดานเป็นลวดลายท้องฟ้า การพ่นผนังให้เป็นภาพวิว เป็นต้น ในการพ่นสีต้องใช้ลมจากเครื่องปั๊มลมเสมอ จึงมีข้อควรระมัดระวังอยู่บ้าง เช่น การตั้งแรงดันลมที่เหมาะสมไม่แรงหรืออ่อนเกินไป เพราะการตั้งแรงดันลมที่อ่อนเกินไปจะทำให้เม็ดสีหรือละอองสีค่อนข้างหยาบและทำงานได้ช้า ส่วนแรงดันลมที่แรงเกินไปถึงจะได้สีที่เนื้อละเอียด แต่จะทำให้เกิดการฟุ้งกระจายมาก ดังนั้นในการทาสีด้วยการพ่นนี้จึงต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญจริงๆ จากข้อมูลข้างต้น คิดว่าวิธีการทาสีด้วยลูกกลิ้งน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะกับงานบ้านพักอาศัยมากกว่าการพ่น หรือการทาด้วยแปรง เพียงแต่ว่าในพื้นที่บางจุดหรือบางส่วนอาจต้องมีการใช้แปรงทาสีร่วมด้วย เพราะลำพังลูกกลิ้งคงใช้ได้กับพื้นที่กว้างๆ ใหญ่ๆ เท่านั้น บริเวณผนังที่ชนกับฝ้าเพดาน บริเวณมุมด้านในของผนังสองผืน คงต้องใช้แปรงทาสีในการเก็บงาน ส่วนการพ่นสีนั้นลืมไปเลยดีกว่าครับ

ประโยชน์ของไหมขัดฟัน

ประโยชน์ต่าง ๆ ของไหมขัดฟันไหมขัดฟันนอกจากจะช่วยขจัดเศษอาหารออกจากฟันแล้ว ยังมีประโยชน์ของไหมขัดฟันด้านอื่นอีก วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก...- ถ้ารูปภาพติดกัน ไม่ว่าจะติดกับอัลบั้มหรือติดกับภาพอื่น แยกมันออกด้วยการใช้ไหมขัดฟันค่อย ๆ แทรกเข้าไประหว่างรูปภาพ เริ่มจากด้านมุมและขยับไหมขัดฟันไปทีละน้อย จะช่วยให้รูปหลุดออกจากกันโดยไม่ทำให้ภาพเสียหาย- ถ้าสร้อยคอเส้นสวยขาด ลองใช้ไหมขัดฟันร้อยสร้อยคอเส้นใหม่ขึ้นมา ความเหนียวและนุ่มของเส้นไหมจะช่วยให้ใช้สร้อยเส้นนั้นไปได้อีกนาน- แขวนรูป สำหรับกรอบรูปแบบเบา ๆ (ไม่ใช่แบบที่มีกระจก) สามารถใช้ไหมขัดฟันแขวนรูปได้- ถ้าไม่มียางรัดผมตอนล้างหน้า ตัดไหมขัดฟันมาสักเส้นหนึ่ง แล้วใช้รัดผมแทน เส้นไหมจะไม่ดึงรั้งเส้นผมจนขาดอีกด้วย- ตัดเค้ก สามารถใช้ไหมขัดฟันแบบที่ไม่มีรสตัดขนมเค้กเนื้อนุ่มทั้งหลายแทนมีด นอกจากจะตัดได้ง่ายแล้ว ยังจะได้ชิ้นเค้กที่สวยได้รูปรู้อย่างนี้แล้ว ลองนำไหมขัดฟันมาใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ กันดูได้.

ฉลาดแบบนี้นะจะดีเหรอ

วันหนึ่งป้ากับหลานสาวจอมซนวัย 6 ขวบก็นั่งคุยกันถึงเรื่องการไปโรงเรียนของหลานสาว
ป้า : นี่เจ้าตัวยุ่งเปิดเทอมหน้านี้น่ะ ถ้าป้าจะให้ไป-กลับโรงเรียนเองคนเดียวไปได้ไหม?
หลาน : ได้สิป้า หนูไปได้อยู่แล้ว
ป้า : ถ้าขึ้นรถเมล์แล้วจะลงป้ายหน้าบ้านถูกหรือจ๊ะ
หลาน : ถูกจ้ะ หนูจำทางได้แล้ว
ป้า : ถ้ากดกริ่งไม่ถึงจะทำยังไงล่ะ
หลาน : หนูก็บอกกระเป๋ารถให้กดให้น่ะสิป้า
ป้า : อืมม์ ใช้ได้นะเนี่ยเราน่ะ แล้วถ้ากระเป๋าอยู่ไกลแล้วไม่ได้ยินเราพูดล่ะ
หลาน : หนูก็ตะโกนบอกคนขับน่ะสิไม่เห็นยากเลย
ป้า : เก่งมากหลานป้า....รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แล้วหนูจะบอกคนขับรถว่ายังไงล่ะลูก?
หลาน : หนูก็ตะโกนบอกคนขับสิว่า "กดกริ่งด้วยยยยยยย" ป้า : ????????

นิ้วกลาง

เด็กชายคนหนึ่งนั่งเล่นอยู่กับพ่อ เด็กน้อยมองไปที่มือของพ่อแล้วถามว่า
"พ่อครับ พ่อใช้มือทำอะไรบ้าง?"
"นิ้วชี้นะ พ่อใช้มันชี้ไปที่ที่พ่อต้องการ นิ้วโป้งนี่ พ่อใช้เวลาเปิดหนังสือ ส่วนนิ้วนางพ่อใช้มันตอนแต่งงาน นิ้วก้อยพ่อใช้แคะจมูก ส่วนนิ้วกลางพ่อจะบอกหลังจากลูกแต่งงานแล้ว"
วันเวลาผ่านไป ลูกชายโตขึ้นและแต่งงาน ก่อนเข้าห้องหอลูกชายไม่ลืมถามพ่อ "พ่อครับ หลายปีมานี้ผมใช้นิ้วชี้ชี้ไปที่ที่ผมต้องการ ใช้นิ้วโป้งเปิดหนังสือ ใช้นิ้วก้อยแคะจมูก ตอนนี้ผมใช้นิ้วนางใส่แหวนแต่งงาน ...แต่พ่อครับแล้วนิ้วกลางล่ะครับจะใช้ทำอะไร?"
พ่อเขยิบเข้าไปใกล้ลูกแล้วพูดช้าๆ"คืนนี้ลูกคงจะต้องมีความสุขกับแฟนหลายๆ ครั้งและลูกก็จะเหนื่อย เมื่อแฟนของลูกยังต้องการอีก..." พ่อหยุดสักพัก "...ก็ใช้นิ้วนี้แหละ กดไปที่หัวเธอ แล้วพูด 'ไปนอนได้แล้วนังโง่'"

อาการท่าจะแย่อาการหมอนะ

หลังจากโทรเรียกหมอมาดูอาการภรรยาในห้องนอน สักครู่หมอก็ออกมาขอไขควงไปอันหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็ออกมาขอคีมและสองสามนาทีต่อมาก็ออกมาขอค้อนกับสิ่ว คราวนี้เจ้าของบ้านทนไม่ได้ จนต้องถามขึ้น"ภรรยาผมเป็นอะไรนักหนาหรือหมอ?" "เอ.. ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมยังเปิดกระเป๋ายาผมไม่ได้เลย"

เออใช้วิธีนี้ก็ดีนะ

แม่สาวคนหนึ่ง เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องทรวดทรงของเธอนั้นงามสล้างเหลือหลาย พ่อหนุ่มคนหนึ่งเกิดมารู้จักแม่สาวนางนี้ หนุ่มนั้นก็มุ่งมั่นที่จะดูนมสาวนางนี้ให้ได้ แต่ละวันผ่านไปเจ้าหนุ่มก็ได้แต่คิด..คิด..คิดหา ทางที่จะดูนมสาวให้ได้ แล้วพี่แกก็คิดออก "นี่เธอ ถ้าเธอกล้าถอดเสื้อถอดยกทรงของเธอ ให้ฉันได้ดูดนมของเธอทีละข้างเท่านั้น ฉันจะให้เงินเธอ ทันทีเลยหนึ่งหมื่นบาท" สาวเจ้าได้ฟังข้อเสนอก็หูผึ่ง บังเอิญตอนนั้นถังแตกอยู่ด้วย กะอีแค่ดูดนมข้างละทีไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน เงินตั้งหมื่น..เธอก็ตอบตกลง แล้วก็ถอดเสื้อนอกออก ถอดยกทรงออกเหลือแต่นมนมของแม่สาวน้อยช่างเต่งตึงจริงๆ เจ้าหนุ่มจ้องตาไม่กระพริบ แทบไม่หายใจ จ้อง..จ้อง..จ้องจนชุ่มฉ่ำไปหมด สาวน้อยเห็นเจ้าหนุ่มตะลึงมองนมตัวอยู่นานก็เลยเตือน "เอ้า..เอาแต่จ้องอยู่ได้ มาดูดนมฉันเสียทีสิ ไม่กล้าหรือไง" "กล้าน่ะกล้าอยู่หรอก.." หนุ่มครางทั้งๆ ที่ตายังจ้องดูนมสาวอยู่ "..แต่มันไม่มีเงิน.."

หมอโรคจิต

ขณะที่คุณหมอโรคจิตเข้าเวรในบ่ายวันหนึ่ง จู่ๆก็มีคนไข้ชายร่างการผอมแห้ง เดินดุ่มๆเข้ามาพร้อมกับถือกล่องใบเล็กๆ สองใบ ยังไม่ทันที่คุณหมอจะถามไถ่ คนไข้รายนั้นก็ชิงพูดขึ้นมาด้วยสำเนียงชัดเจน "คุณหมอครับ เมื่อคืนผมเพิ่งพิสูจน์อะไรได้อย่างหนึ่ง" พิสูจน์อะไรเหรอ" คุณหมอกล่าวอย่างเนือยๆ "คุณหมอรู้มั้ยว่า แมลงสาบมันฟังเสียงด้วยอะไร" "ตามที่หมอได้เรียนมาน่ะ ก็คงตอบได้เลยว่าแมลงสาบย่อมฟังเสียงด้วยหนวด" "ผิดครับหมอ" "อ้าวแล้วมันจะด้วยอะไรล่ะ ถ้าไม่ใช่หนวด" "เดี๋ยวผมจะพิสูจน์ให้คุณหมอดูนะ ว่าแท้จริงแล้วแมลงสาบมันฟังเสียงด้วยอะไร" ว่าพลางก็เปิดฝากล่องและหยิบแมลงสาบขึ้นมาตัวนึง พร้อมกับเด็ดหยวดมันทิ้งไปและวางลงบนพื้นห้อง"ไป้..."คนไข้ตรบมือเสียงดัง เจ้าแมลงสาบก็วิ่งจู้ดหายเข้าไปในซอกโต๊ะ "เห็นมั้ยหมอมันยังคงได้ยินอยู่เลย แล้วก็หยิบแมลงสาบตัวที่สองออกมาจากอีกกล่องนึงแล้วทำการเด็ดขาทั้งหมดทิ้งไป และวางบนพื้นเช่นเดิมพร้อมกับปรบมือไล่ "ไป้.." เจ้าแมลงสาบยังคงแน่นิ่งจะมีก็แต่หนวดเท่านั้นที่กระดิกไปมา "เห็นมั้ยล่ะหมอว่ามันไม่ได้ยินที่ผมไล่ เพราะมันฟังเสียงด้วยขา เมื่อผมเด็ดขามันออก มันจึงไม่ได้ยินอะไรเลย ...คุณหมอ "?????

เมื่อถึงลานประหาร

นักศึกษาชายชาวอเมริกัน3คนเดินทางไปเที่ยวที่แม็กซิโก ในคืนวันหนึ่งทั้ง 3 คนดื่มเหล้าในบาร์หนักไปหน่อยพอตอนเช้า ก็พบว่าทั้ง 3 คนติดอยู่ในคุกและโดนตัดสินประหารชีวิตไปเรียบร้อย แต่ทั้ง 3 คนไม่มีใครจำได้ว่าไปทำอะไรมาบ้างเนื่องจากเมาจัด เลยเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ทำผิด พอถึงวันประหาร หลังจากที่นักศึกษาคนแรกถูกนำเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ไฟฟ้า เขาก็พูดสั่งเสียออกมาว่า"ผมเป็นนักศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแถบแกรนด์แคนยอน ผมเชื่อในพลังของพระเจ้าและเชื่อว่าพระเจ้าจะเข้าข้างผู้บริสุทธิ"พอสิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ก็สับสวิทช์เก้าอี้ไฟฟ้า ปรากฎว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เลยเชื่อว่าพระเจ้าไม่ต้องการให้นักศึกษาคนนี้ตาย จึงปล่อยตัวไปเสร็จแล้วนักศึกษาคนที่2 ก็ถูกนำมานั่งเก้าอี้ไฟฟ้า แต่ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะสับสวิทช์ไฟ นักศึกษาคนที่ 2 ก็กล่าวมาว่า"ผมเป็นนักศึกษากฏหมายอยู่ที่ มหาวิทยาลัยอริโซน่า ผมเชื่อว่ากฏหมายอันศักดิสิทธิ์จะเข้าข้างผู้บริสุทธิ์เสมอ"พูดจบเจ้าหน้าที่ก็สับสวิทช์ทันทีปรากฏว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่เชื่อว่ากฏหมายอันศักดิสิทธิ์ไม่ต้องการให้ชายผู้นี้ตายก็เลยยอมปล่อยตัวไป หลังจากนั้นพอนักศึกษาคนที่3 ถูกนำมานั่งเก้าอี้ไฟฟ้าเขาก็กล่าวว่า"ผมเป็นนักศึกษาวิศวะไฟฟ้าที่มหาวิทยาลัย MIT และผมจะขอบอกพวกคุณว่าถ้าพวกคุณไม่ต่อสายไฟ 2เส้นที่ขาดอยู่นั้นเข้าด้วยกันไอ้เก้าอี้ไฟฟ้าตัวนี้ก็จะไม่มีวันใช้การได้"หลังจากนั้นอีก5นาทีวิญญานของนักศึกษาคนที่3 ก็ไปสู่สุขคติ

อย่าเหยียบเป็ดนะ

หญิง 3 คน เป็นเพื่อนรักกัน ได้ตายลงพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ และดวงวิญญาณไปสู่สรวงสวรรค์ เมื่อไปถึงที่นั่น เซนต์ปีเตอร์ บอกกับพวกเขาว่า "บนสวรรค์นี่ เรามีกฎแค่ข้อเดียวเท่านั้น คือ “ห้ามเหยียบเป็ด" เมื่อทั้ง 3 เข้าไปในสวรรค์ก็พบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยเป็ด มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่พลาดไปเหยียบเป็ดเข้าสักตัว และแม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำอย่างดีที่สุดแค่ไหนก็ตาม หญิงคนแรกก็เผลอไปเหยียบเป็ดเข้าตัวนึงจนได้ เซนต์ปีเตอร์ มาพร้อมกับชายที่อัปลักษณ์ที่สุด เท่าที่หล่อนเคยเห็นมา และมัดทั้ง 2 ไว้ด้วยกัน พร้อมกับบอกว่า "โทษของการเหยียบเป็ด ก็คือ เธอต้องถูกมัดติดอยู่กับชายคนนี้ ชั่วนิรันดร์" วันถัดมา หญิงคนที่ 2 ก็เผลอไปเหยียบเป็ดอีก และเซนต์ปีเตอร์ก็มาพร้อมกับชายที่อัปลักษณ์สุดๆ อีกหนึ่งคน จากนั้นก็ผูกเขาทั้ง 2 ไว้ด้วยกัน และเดินจากไป หญิงคนที่ 3 ไม่ต้องการที่จะผูกติดอยู่กับชายอัปลักษณ์คนไหนไปชั่วนิจนิรันดร์ ดังนั้น เธอจึงเฝ้าระวัง และระวัง ในทุก ๆ ที่ที่เธอย่างก้าวไป เธอใช้เวลาผ่านไปหลายเดือน โดยที่ไม่ได้เหยียบเป็ดตัวไหนเลย และแล้ววันหนึ่ง เซนต์ปีเตอร์ก็มา พร้อมกับชายหนุ่มรูปงาม แบบที่เธอไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย รูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าคมเข้ม ขนตายาว และมีกล้ามเป็นมัด ๆ เซนต์ปีเตอร์มัดเธอไว้กับเขาและจากไปโดยไม่กล่าวคำใด ๆ ทั้งสิ้น หญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความสุขกล่าว "ฉันสงสัยเหลือเกินว่าอะไรกันนะที่ทำให้ฉันได้ถูกมัดอยู่กับคุณ ไปชั่วนิรันดร์" ชายหนุ่มตอบ " เรื่องของคุณจะเป็นยังไง ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่า ผมเหยียบเป็ด" 5555555555555

พอถึงคราวคนแก่

เมื่อกระเป๋ารถเมย์ขี้เล่นรายหนึ่ง มาเจอวาทะของคนแก่เข้า เรื่องบนรถเมล์จึงเกิดขึ้น....
ทุกครั้งที่รถเมล์จอดป้ายให้ผู้โดยสารขึ้น - ลง กระเป๋าขี้เล่น ก็จะตะโกนบอกลูกพี่ตลอดเวลา...
อย่างเช่นมีผู้โดยสาร (สตรี) ลงป้ายที่ 1กระเป๋า : ลูกพี่จอดนิ่งๆ... ผู้หญิงจะลงพอเลยมาป้ายที่ 2 ผู้หญิงหน้าตาสวย รูปร่างดี ยืนขึ้นเตรียมลงกระเป๋า : ลูกพี่จอดด้วยๆ... คนสวยจะลงพอมาถึงป้ายที่ 3 ผู้หญิงหน้าตาออกจีนๆ หน่อย ยืนขึ้นเตรียมลงกระเป๋า : ลูกพี่ จอดสวยๆ... อาหมวยจะลงคราวนี้ถึงป้ายที่ 4 คุณยายแก่ๆ ยืนขึ้นเพื่อเตรียมตัวลงกระเป๋า : ร้องตะโกนลูกพี่ จอดแน่ๆ (ยังไม่ทันพูดต่อ)คุณยายตะโกนสวนขึ้นมาทันที : ไม่ต้อง ไม่ต้อง กูบอกเองลูกพี่ จอดแน่ๆ "แ ม่ จะลง" ------------------------------

อาการนี้เป็นอาการของโรคทรัพย์จาง

โรค MONEYPHILIAโรคทรัพย์จาง มีศัพท์ทางวิชาการว่า MONEYPHILIA เป็นคำสมาสระหว่างคำว่า MONEY และ PHILIA มีลักษณะคล้ายกับโรค HEMOPHILIA ซึ่งโรค HEMOPHILIA ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดไหลไม่หยุด และโรคชนิดนี้มิได้ติดต่อทางพันธุกรรม แต่ MONEYPHILIA เป็นโรคที่เงินไหลออกจากกระเป๋าไม่หยุด จนเกิดทรัพย์จางได้ การติดต่อโรคนี้มิได้ติดต่อทางพันธุกรรมเช่นกัน แต่ติดต่อกันเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มีรายได้น้อย ถึงปานกลาง ซึ่งไม่สามารถจัดสรรรายได้ให้ได้ สัดส่วน กับรายจ่าย ว่ากันง่าย ๆ ก็คือรายจ่ายมากกว่ารายได้นั่นเอง ในทุกวันนี้โรคดังกล่าวได้เริ่มระบาดในหมู่คนไทยที่มีรายได้น้อย ถึงรายได้ปานกลางมาสองสามปีแล้ว ทำให้ส่งผลกระทบต่อขวัญและกำลังใจในการดำเนินชีวิต ตลอดจนบั่นทอนความเจริญก้าวหน้า ในหน้าที่การงาน บั่นทอนสุขภาพ บั่นทอนชีวิตครอบครัวและสังคมโดยร่วม ดังนั้น เราจึงควรศึกษารายละเอียดของโรคนี้ เพื่อหาวิธีหลีกเลี่ยงหรือป้องกันแต่เนิน ๆ ระยะฟักตัวของโรคเชื้อจะเริ่มฟักตัวประมาณวันที่ 15 ของเดือน แต่ก็ไม่แน่ทุกคนไป เพราะบางคนเชื้ออาจจะเริ่มฟักตัวได้ตั้งแต่วันที่ 5 ของเดือนก็มี และบางรายอาการรุนแรงจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ของเดือนทีเดียว อาการจะปรากฏเร็วหรือช้า รุนแรงหรือไม่รุนแรง ขึ้นอยู่กับชนิดของเชื้อ และชนิดรายได้ของแต่ละบุคคล ซึ่งแบ่งตามพฤติกรรมในการจับจ่ายใช้สอยของผู้ป่วย อีกทั้งขึ้นอยู่กับลักษณะของโรคแทรกซ้อนที่มือด้วย ว่าเป็นโรคมือเติบหรือไม่ หากเป็นโรคมือเติบด้วย จะยิ่งทำให้การรักษา หรือป้องกันเป็นไปได้ยาก และระยะฟักตัวของโรคก็จะรวดเร็ว อีกทั้งอาการก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น อาการผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการเหม่อลอย ไม่สบตาผู้อื่นโดยเฉพาะเจ้าหนี้ เหงื่อซึมออกตลอดเวลา หงุดหงิด สูญเสียความเชื่อมั่น ไร้สมาธิในการทำงาน เบื่ออาหาร หิวแต่ทานไม่ลง เพราะอาหารน้อย คุณภาพต่ำเนื่องจากด้อยกำลังซื้อ รสชาติไม่ถูกปาก ผู้ป่วยบางรายมีอาการรุนแรงถึงกับทำอัตวินิบาตกรรม บางรายมีอาการผวาเมื่อถูกเรียกชื่อ พวกที่มีอาการรุนแรงบางจำพวกจะทำการประชดชีวิตโดยการเดินมาทำงาน แทนการโดยสารรถประจำทาง หรือแท็กซี่ หรือพยายามขึ้นรถโดยสารที่มีคนแน่นมาก ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกระเป๋ารถเมล์ หรือเพื่อที่จะได้หลบหลีกระหว่างบันไดหน้ากับบันไดหลังสลับไปมาได้รวดเร็ว และ ทันท่วงที อีกทั้งเพื่อพยายามให้ได้รับอากาศที่ปลอดโปร่ง จะได้กินลมเพื่อลดอาการหน้ามืด การป้องกันไม่ควรนำเด็กหรือสัตว์เลี้ยงเข้าใกล้ เมื่อผู้ป่วยมีอาการหงุดหงิด มิฉะนั้นจะได้รับอันตรายจากผู้ป่วยได้ ไม่ควรนำของมีค่าเข้าใกล้ในระยะสายตาและมือเอื้อมถึง
การรักษา ยังไม่มียาชนิดใดที่จะบำบัดโรคนี้ได้โดยตรงในปัจจุบัน แต่สามารถรักษาได้ตามอาการที่ปรากฏ เช่น ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ (เป็นกันโดยมาก) ก็ควรใช้ยาลดไข้ 1-2 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง ได้แก่ยาพาราเซตามอล ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ ถ้าผู้ป่วยมีอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ควรใช้ยาคลายประสาท ตามที่แพทย์แนะนำ ห้ามใช้เกินขนาด เพราะจะเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ (ห้ามใช้สตริกนินโดยเด็ดขาด) ควรให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกาย พักผ่อน ในที่ลับตาคน อย่าพาผู้ป่วยออกนอกบ้าน เพราะอาจเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ได้ การกระทำเช่นนี้นอกจากจะไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว กลับจะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ อาการดูน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย แต่อาการของผู้ป่วยจะกระเตื้อง ตื่นเต้นได้อีกครั้งก็ถึงตอนปลายเดือนนั้น ๆ แต่บางรายก็ไม่ดีขึ้น กลับทรุดหนักลงไปอีก เนื่องจากการอักเสบของดอกเบี้ย ไม่ควรนำผู้ป่วยไปรักษายังโรงพยาบาลเอกชนเพราะอาจจะทำให้เกิดอาการช็อคได้ เมื่อเห็นใบแจ้งหนี้ ทางที่ดีควรนำไปรักษายังสถานธนานุเคราะห์, สถานธนานุบาล โดยให้ผู้ป่วยนำของที่มีค่าติดตัวไปด้วย ซึ่งเป็นการรักษาอย่างปัจจุบันทันด่วน และตรงตามอาการของโรคมากที่สุด

ปัญหาของเด็ก

ด.ญ.ก้อย สาวน้อยที่กำลังจะพ้นวัยเด็ก ก็มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ความเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจนี้คือ การมีประจำเดือนครั้งแรก และเป็นขณะอยู่ในโรงเรียน ด้วยความกังวลที่มีเลือดออกมา อยากจะปรึกษาใครสักคน จึงได้ปรึกษากับ ด.ช.กล้า เพื่อนร่วมชั้นเรียน โดยทั้งสองได้เข้าไปดูปัญหานี้กันในห้องน้ำ ด.ญ.ก้อยเปิดกระโปรงให้ดูว่า มีเลือดออกมา ด.ช.กล้าเพ่งมองดูอย่างพินิจพิจารณาแล้วก็พยักหน้าหงึกๆ แสดงความเข้าใจปัญหานี้ พร้อมกับบอกว่า..... "อ๋อ...ปัญหาเล็กน้อย แค่ช้างน้อยหลุด เท่านั้นเอง"(กล้าเข้าใจว่า หลุดแล้ว ก็จะเป็นสาว กล้าเองก็รอวันนั้นอยู่เหมือนกัน ....อิอิ)

รวมมุกจีบสาวเห่ยดีอ่ะ

รวมมุก (เก่า) ไว้จีบสาว ... 555วันนี้เปิด email ปรากฏว่า ยังมี email ที่ไม่ได้อ่าน ตั้งนานแล้วพอเปิดดู เป็นมุกจีบสาว อาจจะเป็นวิธีจีบสาวที่เก่าไปหน่อยแต่เอาไว้อ่านคลายเครียดนะครับหรือใครจะมีไอเดีย นำไปดัดแปลงใช้จีบสาวจริง ๆ ก็ตามแต่จะสะดวกนะครับ555 .....
ช> คุณๆขเยิบซ้ายหน่อยสิ
ญ> ทำไมอ่ะค่ะ
ช> หัวใจเราจะได้ตรงกันไง
+++++++++++++
ช>กลัวโทรศัพท์ระเบิดจัง !!!
ญ>ทำไมอ่ะค่ะ
ช> ก้อมันอัดเเน่นไปด้วยความรักไง
+++++++++++++++++
คุย โทรศัพท์อยู่ อืม เธอใช้มือข้างไหนคุยโทรศัพท์อยู่อ่ะ (ข้างขวา/ซ้าย) เรารักเธอนะ อืมลองเปลี่ยนข้างดิ (อืมเปลี่ยนแล้ว) เราเกลียดเธอแล้ว (ทำไม) ก็เรารักเธอข้างเดียวอ่ะ
+++++++++++++++++
ชาย: เฮ้ย ผึ้ง หญิง: อะไรผึ้งเผิ้งอะไร ฉั้นไม่กลัวหลอก
ชาย: ผึ้งจริงๆ
หญิง: พอเหอะก็บอกแล้วไงว่าไม่กลัว
ชาย: ผึ้ง...ผึ้งรู้ว่ารักเธอ
++++++++++++++++++++++++
ช) หันอีกข้างมาไม่ได้หรอ
(ญ) ทำไมอ่ะ
(ช) ก็เราไม่อยากรักเธอข้างเดียวไง
++++++++++++++++++++++
ชาย: เธอเห็นอะไรบางๆรึเปล่า
หญิง: อะไรเหรอ
ชาย: สายใยที่เชื่อมระหว่างเราสองคนเอาไว้ด้วยกันไง (อ่า นะ)
************
++ : ทำไงดีอ่า..เราตาบอดสีอ่ะ
++ : โห..จิงอ่ะ แน่ใจเหรอ?
++ : อืมม..แน่ใจดิ.. ก็เราเห็นโลกเป็นสีชมพูอ่ะ
*******************
ชาย: รักของเธออยู่ที่ไหน
หญิง: แล้วทำไมหละ
ชาย: จงออกมามอบตัวกับเราเสียโดยดี....ตอนนี้"ความคิดถึง"ล้อมไว้หมดแล้ว ห
ญิง: เล่นซ้ะ
************
ชาย: ได้ยินเสียงอะไรป่าว
หญิง: เสียงอะไรไม่เห็นได้ยินเลย
ชาย: ก็เสียงของเราที่ก้องร้องอยู่ในหัวใจเธอทุกนาทีไง (เอื้อ!)
*************
ชาย: ผมยาวจัง
หญิง: แล้วจะทำไมเหรอ
ชาย:เปล่าหลอก ว่าจะยืมมามัดใจหน่อย
********
ชาย: รู้มั้ยว่าวันทุกๆวันผมจะคิดถึงคุณแค่ 2 ครั้ง
หญิง: ตอนกินข้าว กับอยู่กับแม่เหรอจ๊ะ(เคยโดนแบบนี้หละ)
ชาย: เปล่าก็แค่ตอนที่หลับกับตอนที่ตื่นอยู่เอง (Work นะจะบอกให้)
************
เพือน2 กำลังง่วนกับการหาอะไรบางอย่างอยู่ ทำหน้าตาเครียดซะด้วย เพื่อนหนึ่งเลยถามไปว่า
เพื่อน1: หาอะไรอยู่วะ
เพื่อน2: หารักแท้ เ
พื่อน1: ************* อยากเป็นเบอร์ดี้จัง(ทำไมอะ)ก็จะได้เป็นหนึ่งในใจคุณไง ถ้าชอบไงก้อบอกนะ +++++++++++++++++++++++++++
ช) บ้านคุณไฟดับรึป่าว
ญ)ไม่ดับ ทำไมเหรอ
ช) บ้านผมไฟดับ
ช)ผมเพิ่งรู้ว่าถ้าไฟดับผมอยู่ได้ แต่ถ้าผมขาดคุณผมคงอยู่ไม่ได้

เรื่องของหวีกับเจล

คนชาวเขาคนหนึ่งตั้งท้องได้ 9 เดือนพอใกล้คลอดก็มาเปิดห้องในโรงพยาบานอยู่รอวันคลอดเจ้บท้องมา 3 วันแล้วแต่ยังไม่คลอดสักทีจนวันที่ 3 หมอเดินมาบอกว่าเอาใกล้คลอดแล้วก่อนอื่นต้องเเว็กหรือโกนตรงนั้นก่อนเพื่อความปลอดภัยของเด็กเพราะตรงนั้นมีเชื้อโรคมากเด็กอาจติดเชื้อต้องโกนเอาออกซะก่อนหญิงชาวเขานึกขึ่นได้ว่าสามีชอบป่าสงวนของเรามากจึงไม่ไห้โกนถึงเวลาใกล้คลอดหมอให้เธอขึ้นขายั่งจะโกนเธอร้องบอกหมอว่า หญิงชาวเขา: มายอะมะโกหมอ : ไม่ได้เด็กจะติดเชื้อหญิงชาวเขา : มายอะมะโกหมอ : ไม่โกนแล้วจะทำไงเดี๋ยวเด็กติดเชื้อนะหญิงชาวเขา : กะแวะๆอะกิแนะหมอ : อะไรนะพูดใหม่ซิหญิงชาวเขา : กะแวะๆอะกิแนะหมอฟังไม่รูเรื่องสั่งนางพยาบาลไปตามเพือนของหญิงชาวเขาให้ทีหมอ : เธอช่วยบอกเพือนทีว่าต้องโกนตรงนั้นออกไม่อย่างนั้นเด็กจะติดเชื้อเพื่อนหญิงชาวเขาก็หันไปคุยกับเพื่อนแล้วหันมาบอกหมอว่า เธะหะแวะๆอะกิแนะหมอก็ฟังไม่รุ้เรื่องสั่งของพยาบาลให้ไปตามสามีเธอมาหมอ : คุณบอกภรรยาคุณซิว่าต้องโกนทรงนั้นออกก่อนไม่งั้นเด็กจะติดเชื้อได้สามี : ลังเลอยู่สักครู่ก็หันไปบอกภรรยา แล้วภรรยาก็ตอบเหมือนเดิมว่าหญิงชาวเขา : กะแวะๆอะกิเเนะหมอ : ภรรยาคุณพูดว่าไงนะสามี : อืม..เธอบอกว่าให้แหวกๆแล้วเอากีบเหน็บครับหมอหมอ : ทำงั้นไม่ได้แล้วจะเอากิบที่ไหนมาเหน็บได้ทุกเส้นทำไม่ได้หลอกหญิงชาวเขาได้ยินดังนั้นก็บอกต่อว่าหญิงชาวเขา : กะหวิๆอาเจแปะหมอได้ยินก็ไม่เข้าใจหันไปถามสามีเธอว่าภรรยาคุณพูดว่าไงนะสามี : คิดอยู่นานก็ตัดสินใจบอกหมอว่า เธอให้หวีๆแล้วเอาเจลโปะครับหมอนี่ไม่ใช่ก้น นี่ก็ไม่ใช่ปรอทหญิงสาวคนหนึ่งไปหาหมอที่คลีนิคใกล้บ้าน หมอบอกกับหญิงสาว..ว่าหมอ : คุณมีอาการอย่างไรครับ..?หญิงสาว : ปวดหัว และ ตัวร้อนค่ะหมอ : งั้นหมอขอใช้ปรอทวัดหน่อยนะ อ้าม..อ้าปากสิหญิงสาว : คือ..หมอชั้นเจ็บปาก หมอ : อ้าว.งั้นก้อชูแขนขึ้นสิหญิงสาว : ตรงรักแร้ไม่เอา ฉันเป็นจี้ ก็

อย่าผิดสัญญานะผู้ชาย

ตัวอย่างของการบอกแล้วไม่เชื่อ
วันหนึ่งสมชายเกิดปวดท้องขนาดหนัก จึงรีบวิ่งตรงเข้าห้องน้ำสาธารณะ แต่...โชคไม่เข้าข้าง เพราะทุกห้องเต็มเหยียด แถมไม่มีทีท่าว่าใครจะออกมาหลังจากที่เขาเดินกระวนกระวายอยู่หลายนาทีเผอิญมีหญิงสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้า และเดาได้ว่าสมชายกำลังกลัดกลุ้มกับปัญหาทุกข์หนักเช่นใดหญิงสาวจึงตรงเข้ามาหา และพูด้วยความเห็นใจว่า "คุณค่ะ ห้องน้ำหญิงว่างอยู่ค่ะ""แต่ว่า ...อ่า..." สมชายยังมีอาการ ลังเล"เถอะค่ะ .. ฉันเห็นใจ ฉันยินดีจะเฝ้าให้ ถ้าคุณยอมสัญญากับฉัน 3 ข้อ"หญิงสาวยื่นเงื่อนไข "ครับ ๆ ๆ ..ผมตกลง สัญญาอะไรบ้างครับ"สมชายรับปากด้วยความเต็มใจยิ่ง เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรในลำไส้ใกล้ระเบิดออกมาใช้ขายขี้หน้าอยู่รอมร่อ"ข้อแรก คุณต้องรีบใช้ห้องน้ำให้เร็วที่สุดในระหว่างทีฉ้นเฝ้าให้"
"ข้อ 2 คุณต้องรักษาความสะอาด ห้ามทำให้เลอะเทอะ สกปรกเด็ดขาด พวกผู้ชายน่ะ ชอบทำห้องน้ำสกปรก" "ข้อ 3 ต่อเลยครับ ผมไม่ไหวแล้ว เร็ว ๆๆ"ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด คุณต้องสัญญาว่า ห้ามกดปุ่มใด ๆ ทั้งสิ้นในห้องน้ำหญิง นอกเหนือจากปุ่มชักโครก" คำสัญญาข้อสุดท้ายแม้จะทำสมชายค่อนข้างงง แต่เขาก็รับคำเนื่องจากปวดท้องจนทนไม่ไหว ว่าแล้วสมชายก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำ
หลังปลดทุกข์ อันหนักหน่วง เขาจึงมีโอกาสได้พิจารณาห้องเล็ก ๆ โดยรอบ ซึ่งพบว่าไม่มีอะไรต่างจากห้องน้ำชายสักเท่าไหร เว้นแต่ ..ปุ่มแปลกประหลาดจำนวน 3 ปุ่ม สีเขียว สีฟ้า และสีแดง อยู่ที่ผนังห้องน้ำ แถมปรากฎอักษรย่อ "น.อ" ที่ปุ่มสีเขียว "พ.ล" ที่ปุ่มสีฟ้า และ "ด.ผ.อ.น.ม." ที่ปุ่มสีแดง สมชายเริ่มเกิดความอยากรู้ อยากเห็น เพราะห้องน้ำชายไม่ยักมีปุ่มพวกนี้
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะละเมิดคำสัญญา ลองกดปุ่มแรกที่เขียนว่า "น.อ" ทันใด..สิ่งน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฎมีสายน้ำอุ่นพุ่งขึ้นฉีดล้างทำความสะอาดบั้นท้ายของเขาอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบาย สมชายจึงรู้ว่า ที่แท้ "น.อ"ย่อมาจากน้ำอุ่น! ขณะนึกอิจฉาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำหญิง เขาก็อดใจไม่ไหว ต้องลองกดปุ่มที่สองที่เขียนว่า "พ.ล"
ทันใดนั้น ก็มีสายลมพัดพุ่งตรงใส่บั้นท้ายเขา เป่าให้แห้งอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบายเช่นเคย ทีนี้ สมชายจึงเข้าใจกระจ่างว่า "พ.ล" แปลว่าพัดลม!
เมื่อสมชายเห็นความอัศจรรย์สุดยอดของบริการทันสมัยไปสองปุ่มแล้ว เขาอดใจไม่ได้ที่จะลองกดปุ่มสุดท้ายที่กำกับด้วยตัวอักษรย่อที่ยาวที่สุดว่า "ด.ผ.อ.น.ม" พลางนึกว่าปุ่มนี้น่าจะเป็นทีเด็ดสุดยอด
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแล่บ
กว่าสมชายจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนได้สติที่โรงพยาบาล ทันทีที่สมชายลืมตาขึ้น เขารีบถามพยาบาลที่อยู่ตรงหน้าทันทีว่า .."นี่มันที่ไหนกัน ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย เกิดอะไรขึ้น ผมจำได้ว่าผมเข้าไปใช้บริการที่ห้องน้ำหญิง แล้วผมมาอยู่ที่นี้ได้ไง" "ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ที่คุณต้องมาอยู่นี่ ก็เพราะคุณไปกดปุ่มสีแดงเข้าน่ะค่ะ"
เมื่อสมชายทำหน้างง พยาบาลสาวจึงเฉลยว่า "ปุ่มสีแดงที่มีอักษรย่อว่า "ด.ผ.อ.น.ม" หมายถึง "ดึงผ้าอนามัย" ไงค่ะ ..
ฉันต้องแสดงความเสียใจด้วย เพราะคุณหมอต่อให้คุณไม่สำเร็จค่ะเครื่องมันจัดการดึงแล้วยัดลงชักโครกไปแล้วล่ะนะค่ะ"

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อาหารมื้อสุดท้าย

อาหารมื้อสุดท้าย
นักโทษสามคนกำลังจะถูกนำตัวไปประหารชีวิต เจ้าหน้าที่ก็มาถามว่าก่อนตายทั้งสามต้องการกิน อะไรเป็นมื้อสุดท้าย "ผมอยากกินพิซซ่า" คนแรกตอบ เขาได้กินพิซซ่าจานโตและถูกนำตัวไปประหาร
"ผมอยากกินไก่ทอดเคเอฟซี" คนที่สองบอก เขาได้กินไก่ทอดเคเอฟซีรสเข้มข้นแล้วก็ถูกนำตัวไปประหาร
"ผมอยากกินบัวหิมะพันปี" คนที่สามบอก "แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาบัวหิมะพันปีออกนะ" เจ้าหน้าที่บอก "ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้........

อยากเป็นใช้

เหตุผลของลูก แม่ถามลูกว่า "โตขึ้นลูกๆ อยากเป็นอะไรจ๊ะ"
ลูกชาย 1 : ทหารครับ จะได้ป้องกันประเทศชาติ ลูกชาย
2 : อยากเป็น คุณหมอครับแม่ จะได้รักษาคนไข้
แม่ : ดีดีดี แล้วลูกสาวแม่ล่ะอยากเป็นอะไร
ลูกสาว : อยากเป็นคนใช้ค่ะแม่ แม่ : (เกิดอาการงงสุดขีด) ทำไมอยากเป็นคนใช้ล่ะลูก
ลูกสาว : หนูอยากให้คุณพ่อกอดหนูนานๆ บ่อยๆ ค่ะ

ผู้ติดตาม