วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552
จอมโกหก
คนหนึ่งกระโดดลงไปในแม่น้ำโดยได้อมเหรียญห้าบาทลงไปด้วยพอโผล่ขึ้นมาก็บอกแก่เพื่อนว่า
“เฮ้ย! ฉันดำน้ำลงไปเจอพญานาคกำลังเล่นไพ่กันอยู่ฉันยังขอเหรียญห้าบาทมาหนึ่งเหรียญเลย”
เพื่อนอีกคนหนึ่งรู้ว่าโกหกแต่ไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยโดดลงไปในน้ำด้วยความโมโห หัวเลยไปชนตอหัวแตกพอโผล่ขึ้นมาก็บอกแก่เพื่อนว่า
"เฮ้ย! ฉันโดดลงไปในน้ำโชคไม่ดีเลย ท่านพญานาคกำลังเล่นไพ่เสีย เลยตีหัวข้าแตก แล้วบอกว่าให้ฉันมาเอาเงินที่แกครึ่งหนึ่งไปซื้อยา"
ทำไมช้างตาเล็กเสือมีลาย
อย่าทะนงหลงว่าเราเองเก่งกว่าคนอื่น เพราะอาจมีคนเก่งกว่าเราก็ได้และเมื่อนั้นเรานั่นแหละจะอับอายขายหน้าคนอื่นๆเขา จนมองหน้าใครไม่ได้
ศิลปะในการขอทาน
ด้วยความสงสารชายหนุ่มจึงควักเงิน 10 บาทออกมา แล้วยื่นให้แก่หญิงชราพร้อมกับพูดขึ้นว่า "เอาเงิน 10 บาทนี้ไปก็แล้วกันนะยาย เหรียญบาทคงหาไม่เจอแล้ว"เมื่อรับเงินจากชายหนุ่ม หญิงชรากล่าวขอบใจแล้วก็ดับตะเกียงจากไปชายหนุ่มคนนั้นก็ขับรถเข้าไปทำธุระในเมือง เมื่อทำธุระเสร็จแล้วเขาก็ขับรถออกมาตามเส้นทางเดิม เขาประหลาดใจมากที่ได้เห็นหญิงชราคนหนึ่ง กำลังจุดตะเกียงส่องหาอะไรบางอย่างในพงหญ้าข้างถนน ด้วยความสงสัยเขาจึงหยุดรถแล้วเดินเข้าไปดูใกล้ๆเขาก็จำได้ทันทีว่า หญิงชราคนนี้ ก็คือหญิงชราคนเดิมที่เขาให้เงินไป 10 บาทเมื่อตอนหัวค่ำนั่นเอง เขาจึงถามหญิงชรานั้นว่า "นี่ยาย...ยายทำเงินตกหายอีกแล้วรึ"หญิงชราเงยหน้าขึ้น ก็จำชายหนุ่มผู้ใจดีคนนี้ได้ จึงตอบไปว่า"ใช่แล้วหลาน...แต่หลานชายไม่ต้องควักเงินให้ยายอีกนะ""ทำไมละยาย" ชายหนุ่มสงสัย"นี่มันเป็นกลวิธีในการขอทานที่ได้ผลดีที่สุด...ขอบใจสำหรับเงิน 10 บาทนะหลานเอ๊ย"พูดจบหญิงชราก็เดินจากไป ทิ้งให้ชายหนุ่มมึนงงอยู่ตรงนั้นเอง
" ทุกอาชีพต่างก็มีกลวิธีในการทำมาหากินของตนเองแล้วแต่ใครจะใช้ช่องทางใด แต่ก็ควรใช้วิธีที่สุจริต...นะจ๊ะ นะจ๊ะ
หัวขโขย
วันหนึ่งเห็นชายหัวขโมย ใส่เสื้อผ้าที่ขโมยมา เดินผ่านมา เด็กหนุ่มก็จำได้ จึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่ขอบสระนั้นขโมยเห็นเข้าจึงเข้ามาถามว่า พ่อหนุ่มมานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่ทำไม?
เด็กหนุ่มตอบว่า "ฉันทำสร้อยคอตกน้ำจ้ะพี่ ทองคำหนักตั้ง 5 บาท กลับบ้านพ่อคงตีฉันตาย"
ขโมยถามว่า "ทำไมไม่ลงงมล่ะ"
"ฉันว่ายน้ำไม่เป็น" เด็กหนุ่มตอบ
ขโมยเห็นโอกาสจะตบตาเด็กเอาสร้อยคอมาได้เหนาะๆ เช่นนั้น จึงบอกแก่เด็กหนุ่มว่า "เอาละ ข้าสงสารเอ็งจะลงงมให้ เอ็งคอยอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน"
"ขอบคุณท่านมากทีเดียว นึกว่าช่วยเหลือฉันสักที ฉันจะไม่ลืมบุญคุณเลย"
ขโมยรีบถอดเสื้อผ้ากองไว้ที่ขอบสระ แล้วกระโจนลงน้ำโครมไม่รีรอ
ขณะที่กำลังดำอยู่ก้นสระนั้นเด็กหนุ่มได้ทีจึงรีบฉวย เสื้อ กางเกงของตัวกลับคืน แล้วหนีไป
(อย่างนี้เรียกว่า เกลือจิ้มเกลือ)
เด็กกำพร้าเรียนมนต์ตด
อันตัวข้าพเจ้ามีนามกรว่า...ท้าวกำพร้าได้ศึกษาวิชา...มนตราว่าด้วยตด...ทั้งตดยาว...ตดสั้นตดไปข้างหน้า...ตดมาข้างหลัง...ตดลอยสูง...ตดลอยต่ำตดควบคุมเสียง...ตดเสียงสูง...เสียงต่ำ...ตดดัง...ตอค่อยตดไร้เสียง.....................................................................................................................................................ตดควบคุมกลิ่น...ทั้งกลิ่นหนา...กลิ่นบาง...ตดสร้างมิตร...เสน่ห์ยาแฝด...ตดใส่หญิง หญิงรัก...ตดใส่ชาย ชายหลง....ตดใส่ตุ๊ด ตุ๊ดเป็นลม...เอ้ยไม่ใช่...หลงคารม.................ตดกลิ่นทำลายมิตรภาพ...........ตดพิฆาตศัตรูพ่าย................................................เมื่อศึกษาจนแตกฉานคิดทำการณ์สิ่งใด ก็สำเร็จดังประสงค์
พอเรียนจบเขากลับมาหาหลวงพ่อและเล่าเรื่องราวการเรียนให้หลวงพ่อฟังหลวงพ่อไม่ว่าอะไรได้แต่ให้กำลังใจว่า "ใครจะว่าอะไรก็อย่าไปสนใจ วิชาอะไรทุกอย่างมันมีคุณทั้งนั้น ขอให้รักษาวิชาตดไว้ให้ดีบางทีเราอาจได้อาศัย"อยู่มาวันหนึ่งมีเรือสำเภาขนาดใหญ่ขนสัมภาระเพื่อไปจำหน่ายมากมายพอไปถึงหมู่บ้านนั้นเกิดไปติดหาดทรายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ จ้างคนทั้งหมู่บ้านลากเข็นก็ไม่ไป พอดีเท้ากำพร้าเดินไปพบเข้าจึงพูดออกไปว่า"เรือติดแค่นี้ ไม่ต้องทำอะไรมากเลย เพียงแค่ตดใส่เท่านั้นก็ออกได้แล้ว"นายสำเภาได้ยินดังนั้นก็โกรธแค้นมาก คิดว่าท้าวกำพร้าพูดสบประมาท"ข้าจ้างคนทั้งหมู่บ้านยังลากออกไม่ได้ เอ็งเก่งมาจากไหนจะมาตดใส่ให้สำเภาออกได้"พอพูดจบนายสำเภาก็สั่งลูกน้องให้จับตัวท้าวกำพร้าไว้ ฐานพูดจาดูหมิ่น"ช้าก่อนท่าน" ท้าวกำพร้าชิงพูดขึ้น "ข้ายังไม่ทันตดให้ดูเลย ทำไมท่านถึงคิดว่าทำไม่ได้ต้องพิสูจน์กันก่อนซิ ถ้าข้าตดแล้วสำเภาออกไปได้ ท่านจะยอมให้สินค้าทั้งหมดบนเรือแก่ข้าไหม""ตกลง ถ้าสำเภาเคลื่อนไปได้ ข้าจะยกสินค้าในสำเภาให้เอ็งหมด แต่ถ้าเคลื่อนไม่ได้เอ็งจะต้องถูกฆ่าตาย" นายสำเภาตกลงและต่อรองเมื่อตกลงดังนั้นแล้ว ท้าวกำพร้าจึงยกมือเหนือหัวแล้วอธิษฐานถึงครูบาอาจารย์เสร็จแล้วจึงเบ่งตดออกมาเสียงดัง "ป็าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาด"ทุกคนตกตะลึงแทบไม่เชื่อสายตาที่สำเภาได้ค่อยๆเคลื่อนออกจากหาดทรายนายสำเภาดีใจมาก จึงได้มอบสินค้าทุกอย่างที่มีบนเรือ ให้หนุ่มน้อยไปตามสัญญาจากนั้นท้าวกำพร้าก็มีฐานะร่ำรวย ไม่อดอยากอีกต่อไป
จบบริบูรณ์
อยากอยู่กระท่อมสูง
ผัวเมียทั้งสองก็มิได้ขัดข้องหรือรังเกียจเกี่ยงงอนแต่ประการใด เมื่อพ่อแม่ให้ไปก็ไป เมื่อไปถึงก็ช่วยกันปลูกกระท่อมด้วยไม้ไผ่ และพยายามปลูกให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เพราะไม่ต้องการให้น้ำท่วม
ผัวจึงไปตัดไม้ไผ่เอามาทำเสากระท่อม ตัดมามากมายก่ายกองเหลือประมาณ ปลูกกระท่อมจนเสร็จ กระท่อมนั้นนับว่าสูงที่สุดเลยทีเดียว
ครั้นเสร็จแล้วก็ขึ้นไปอยู่กัน นอนหลับสบายทั้งคืน จนรุ่งเช้าผัวตื่นขึ้นไม่เห็นเมียก็ตกใจ มองหาจนทั่วก็ไม่เห็นเมีย ผัวสงสัยคิดว่าเมียตกกระท่อม จึงก้มลงไปดูข้างล่าง เห็นเมียตกกระท่อม ร่างของเมียยังลอยอยู่ยังไม่ถึงพึ้น ยังสูงอีกมาก แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรจะตกถึงพื้นดิน เลยยังไม่รู้ว่าผลเป็นอย่างไร...
ข้อคิดที่ได้จากนิทานเรื่องนี้:
การทำอะไรเกินพอดี อาจเกิดโทษภัยต่างๆ ขึ้นได้ฉะนั้นควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนทำ และควรทำแต่พอดี (จากนิทานพื้นบ้าน สำหรับเด็ก และ
พยานให้การ
"ชื่ออะไร"
"อ้า..อ้า..เกล้าชื่อว่าอ้ายทุย"
ศาลถาม "อายุเท่าไหร่"
"ก็เกิดปีจอ..ก็ 42 ปีครับ" พยานตอบ
ศาลถาม "เป็นอะไรกับจำเลย"
พยาน "เป็นพยานจำเลยครับ"
ศาล "รู้แล้วว่าเป็นพยาน ต้องการรู้ว่า เป็นญาติโยมอะไรกันหรือเปล่า"
พยาน "เมื่อเขาบวช เขาเรียกผมว่าโยม จนกระทั่งสึกออกมาก็ยังเรียก โยม ตลอดมา"
ศาล "แล้วเป็นญาติกันหรือเปล่า"
พยาน "เอ..ญาติ หมายความว่าอย่างไรครับ"
ศาล "เป็นพี่น้องกันหรือเปล่า"
พยาน "เปล่าครับ"
ศาล "เออ เท่านั้นเอง ถามเกือบตาย"
พยาน "ครับผมก็ตอบเกือบตายเหมือนกัน"
ศาล "แล้วแกทำอะไรกินล่ะ"
พยาน "เมื่อเช้า ตำน้ำพริกจิ้มผักบุ้ง อร่อยไปเลยครับ กลางวันนี้ว่าจะ แกงปลาไหล"
ศาล "เปล่าๆ ศาลถามว่าแกนะมีอาชีพอะไร"
พยาน "อาชีพของผมที่เป็นล่ำเป็นสันจริงๆ ก็คือการประมงครับ
ศาล "เออ แกก็ดี มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐาน จับโป๊ะลงอวน ได้ของทะเลทีละมากๆ หละสิ"
พยาน "เปล่าครับ..ผมเที่ยวช้อนลูกน้ำขายให้ร้านตู้ปลา"
ศาลถึงกับหงานหลังผึ่งพิงพนักเก้าอี้!!
เหลือเชื่อ
นึกว่าง่าย
คนขี้ลืม
วันหนึ่งชายขี้ลืมคนนี้ถือมีดเข้าไปในป่าเพื่อจะไปตัดต้นไม้ เดินทางไปได้สักพักหนึ่ง เกิดปวดอุจจาระ จึงเอามีดฟัดติดกับต้นไม้ไว้ แล้วก็หาที่หลบไปถ่ายอุจจาระ
พอถ่ายอุจจาระเสร็จก็เดินออกมา เห็นมีดเล่มหนึ่งอยู่ที่ต้นไม้ เขาลืมไปว่าเป็นมีดของตัวเอง
เขาดีใจมากจึงรีบวิ่งไปคว้ามีดมาถือไว้ แล้วจับมีดชูขึ้นพลางเต้นไปรอบๆแล้วพูดว่า “วันนี้โชคดีแต่เช้าเลยมีดของใครก็ไม่รู้ยังใหม่อยู่ ลับเอาไว้คมกริบทีเดียวเจ้าของมีดนี้แย่มาก ของดีๆ อย่างนี้มาลืมไว้ได้ อ้ายคนไม่รู้จักรักษาของ คนอย่างนี้ทำมาหากิน อะไรมีแต่จะล่มจม”
เผอิญเขาเดินไปเหยียบเอาอุจจาระที่ตนเองถ่ายไว้เมื่อครู่นี้เข้า ลืมว่าเป็นของตัวเองจึงตะโกนด่าขึ้นว่า
“อ้ายคนอุบาทว์ที่ไหนมาถ่ายไว้ได้ ที่ทั้งป่ากว้างใหญ่มาทำโสโครกเอาไว้ตรงนี้เอง อ้ายมนุษย์อัปรีย์”
ข้อคิดจากนิทานเรื่องนี้ :ขึ้นชื่อว่าคนขี้ลืมแล้ว มักจะลืมได้ทุกอย่าง ฉะนั้นจงทำอะไรด้วยความมีสติเสมอ(จากนิทานพื้นบ้านชุด ขำขัน
หนูกัดเหล็ก
ในที่สุดเศรษฐีก็ตรอมใจตาย แต่ก่อนตายได้เอาเงินกับทองใส่ตุ่มอย่างละตุ่มฝังไว้ และด้วยความดีที่ได้กระทำมา ส่งผลให้เศรษฐีไปเกิดเป็นเทวดา
ฝ่ายลูกเศรษฐีเมื่อพ่อแม่ตายแล้วก็ยิ่งกำเริบ ใช้เงินเลี้ยงเพื่อนเที่ยวเตร่เสเพล ไม่นานเงินก็หมด เพื่อนฝูงที่เคยล้อมหน้าล้อมหลังก็หายหน้าไปทีละคน
อยู่มาวันหนึ่งเพื่อนชวนไปกินเลี้ยงกันตามเคย โดยสั่งลูกเศรษฐีตกยากว่าถ้าคิดจะไปกินเลี้ยง ก็ให้เอาไก่ไปร่วมในการกินเลี้ยงด้วยหนึ่งตัวลูกเศรษฐีอยากกินเลี้ยงมาก ถึงแม้จะไม่มีเงินแล้ว ก็ยังขวนขวายหาไก่ได้ตัวหนึ่ง จึงจัดการลวกน้ำร้อนถอนขน แล้วผูกห่อใบตองเตรียมที่จะไปร่วมงานกินเลี้ยง
ครั้นเดินมาตามทาง เพราะความเหนื่อยจึงแวะพักใต้ต้นไม้ข้างทางแล้วม่อยหลับไป บังเอิญมีอีกาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนต้นไม้นั้น ได้กลิ่นเนื้อโชยมาจากใบตอง จึงบินโฉบลงมาคาบห่อใบตองไป เขาจึงต้องไปงานกินเลี้ยงมือเปล่า
พอถึงบ้านเพื่อนที่นัดกินเลี้ยงก็เล่าให้เพื่อนฟัง แต่ไม่มีใครเชื่อในคำพูดของเขาเลยต่างคิดว่าเขาคงไม่มีปัญญาหาไก่มา จึงกุเรื่องแก้เก้อ แถมยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางว่าไม่มีปัญญาหาไก่มา แล้วยังไปโทษอีกาอีก
ลูกเศรษฐีทั้งเจ็บทั้งอายตัดสินใจไม่ร่วมวงกินเลี้ยงด้วย รีบเดินทางกลับบ้านเมื่อถึงบ้านแล้วก็ยังน้อยใจไม่หาย นึกถึงความหลังที่ตนมั่งมีเงินทอง ผู้คนล้อมหน้าล้อมหลัง เสียใจกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ร่างกายก็ผ่ายผอมลง
ฝ่ายเทวดาพ่อแม่เห็นอาการของลูกก็อดสงสารเสียมิได้ จึงมาเข้าฝันลูกว่า"นั่นแหละลูกเอ๋ย เมื่อพ่อแม่ยังอยู่ก็ได้สอนเจ้านักหนาเรื่องการใช้เงินทองเมื่อยามลำบากยากจน ใครเขาจะมานับถือ พูดจริงก็เป็นหลอกไปได้ ขอให้เจ้ารู้สึกตัวและทำตัวเสียใหม่ พ่อแม่จะช่วย"
ในฝันนั้นเองลูกเศรษฐีก็คิดได้ จึงสัญญากับพ่อแม่ว่า ต่อไปจะเลิกความประพฤติเดิมจะตั้งใจทำมาหากิน เลี้ยงตัวให้มีเงินพอ จะไม่ให้ใครมาดูถูกได้อีกต่อไปเมื่อเทวดาพ่อแม่ได้รับคำสัญญาจากลูกเช่นนั้นก็พอใจยิ่งนัก เมื่อลูกสัญญาว่าจะกลับตัวเป็นคนดีจึงได้บอกที่ซ่อนตุ่มเงินและตุ่มทองให้ในฝันนั้นเอง
พอตื่นขึ้นมาลูกเศรษฐีก็รีบไปขุดหาตุ่มเงินตุ่มทอง ก็พบจริงตามฝัน จึงนำเงินในตุ่มมาทำทุนตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ไม่นานก็กลับฟื้นตัวพอมีฐานะขึ้นอีก เพื่อนที่เคยหนีหาย ก็เริ่มกลับมาคบหาเพิ่มขึ้นทุกวัน
ลูกเศรษฐียังจำวันที่เพื่อนฝูงเยาะเย้ยได้ไม่ลืม วันหนึ่งลูกเศรษฐีเห็นได้โอกาสจึงชวนเพื่อนมากินเลี้ยงกันอีกเหมือนเมื่อยังร่ำรวยหนก่อน เพื่อนฝูงต่างก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาขณะที่กินเลี้ยงอย่างครึกครื้นเฮฮาอยู่นั้น ลูกเศรษฐีได้นำมีดเหี้ยนๆ เล่มหนึ่งมาให้เพื่อนดูพลางพูดขึ้นว่า
"อัศจรรย์จริงๆ มีดเล่มนี้เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ แท้ๆ ทิ้งไว้คืนเดียวหนูมากัดเสียจนเหี้ยนหมดเหลือเท่านี้เอง"
เพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อได้ยินก็รับคำเชื่อตามคำพูด บางคนก็ประสมโรงพูดว่า"จริงเหมือนเพื่อนว่าหนูมันร้ายนัก มีดของเราก็เคยโดนเหมือนกัน เหี้ยนเหมือนอย่างนี้ไม่มีผิด"เพื่อนคนอื่นก็พูดว่า "ใช่ๆ" คนละคำสองคำ
ลูกเศรษฐีเมื่อได้ยินดังนั้น ก็คิดได้ว่า
"ยามเมื่อเรายากจนคนดูถูก ถ้อยคำที่พูดไม่มีน้ำหนัก ถึงพูดความจริงก็ยังไม่มีคนเชื่อแต่เมื่อยามมั่งมีเงินทอง จะพูดอย่างไรจริงหรือเท็จไม่สำคัญ คนย่อมยอมรับเชื่อ
ซี้หิน
ค่าของคน
เสือตีนโต
ใครโง่กว่ากัน
ทำดีได้ดี
"ดีมากสมชาย แล้วเธอล่ะ? สมศักดิ์""ผมช่วยสมชายจูงหญิงแก่ข้ามถนนครับ" สมศักดิ์ตอบ
"ดีมาก แล้วเธอล่ะ? สมรักษ์""คุณครูครับ ผมช่วยสมชายกับสมศักดิ์ จูงหญิงแก่ข้ามถนนครับ"
"เอ๊ะ แปลกจริง พวกเธอสามคนจูงหญิงแก่ข้ามถนนเหมือนกันเลยเหรอ?""ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยครับ" สมรักษ์รายงานครู"คือว่าหญิงแก่คนนั้นไม่อยากข้ามถนน ผมสามคนต้องช่วยกันออกแรงถึงฉุดแกข้ามถนนไปได้............."
ความรู้ท่วหัวเอาตัวไม่รอด
เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ เมื่อเรือเข้าสู่กระแสน้ำเชี่ยว คนแจวเรือจึงต้องตั้งอกตั้งใจแจวอย่างระมัดระวัง ฝ่ายนักศึกษากำลังก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเล่มใหญ่ ในที่สุดนักศึกษาก็ละสายตาจากตำราเงยหน้ามองมาที่คนแจวเรือ
"ลุงเคยอ่านตำราประวัติศาสตร์บ้างไหม?" นักศึกษาถามขึ้น
"ไม่เคยเลยครับ" คนแจวเรือจ้างตอบเบาๆ
"งั้นลุงก็พลาดโอกาสอย่างน่าเสียดาย ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่านมีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในอดีต เรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เรารู้ว่าคนในสมัยโบราณใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่งกายแบบไหน ประวัติศาสตร์จะบอกให้ทราบถึงความเจริญของชนชาติต่างๆทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?"
"ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ" คนแจวเรือตอบ
คนแจวเรือก็แจวเรือต่อไป นักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น
ผ่านไปสักครู่ นักศึกษาก็ถามคนแจวเรือขึ้นอีก "ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?"
"ไม่เคยเลยครับ"
"ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เรารู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ กระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝนภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าศึกษามาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?"
"ไม่เคยเลยครับ" คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาส่ายหน้า"ไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงไม่มีค่าอะไรเลย"
"วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า"
"ไม่เคยอีกแหละคุณ"
"ลุงเป็นคนยังไงกันหือ? วิทยาศาสตร์ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ความก้าวหน้าของมวลมนุษย์ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรง นักวิทยาศาสตร์เป็นบุคคลที่สำคัญยิ่งในโลกปัจจุบัน แต่ทว่าลุงไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเหลือเกิน"
นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่ยอมพูดจาอีก ขณะนั้นเมฆดำได้แผ่ขยายเต็มท้องฟ้าลมเริ่มพัดแรง ฟ้าแลบแปลบปลาบ พายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกไกลกว่าจะถึงฝั่ง
คนแจวเรือแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า "ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?"
นักศึกษาพูดอย่างตกใจกลัว"ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง"
บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างแปลกใจบ้าง และพูดว่า
"อะไรกัน คุณว่ายน้ำไม่เป็น คุณรอบรู้ออกมากมาย ประวัติศาสตร์เอยภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์คุณก็ออกคล่อง แต่ทำไมไม่เรียนว่ายน้ำด้วยเล่า อีกประเดี๋ยวเถอะ คุณจะรู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย"
พายุพัดจัดขึ้น เรือลำน้อยถูกคลื่นและลมพัดโยนขึ้นๆลงๆในไม่ช้าก็ถูกคลื่นและพายุกระหน่ำจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างว่ายน้ำขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสารจมหายไปใต้กระแสน้ำอันไหลเชี่ยวนั้น
พ่อยอมแล้วลูก
สมเหตุสมผล
ผู้พิพากษาถามชายตัดฟืน: "ทำไมท่านถึงฆ่าหมาตาย?""เพราะว่าหมามันโถมเข้าหาข้า ข้าจำเป็นต้องป้องกันตัว ข้าจึงควงขวานแล้วจามมันตาย" ชายตัดฟืนตอบ
ผู้พิพากษาถามอีก: "แล้วทำไมท่านไม่หันด้ามขวานไปข้างหน้าละ?"
ชายตัดฟืนตอบ "ถ้าหมามันคิดจะกัดข้าด้วยหางของมัน ข้าก็ควรหันด้ามขวานไปข้างหน้าแต่มันแยกเขี้ยวกระโจนเข้าใส่ข้า ข้าหันคมขวานเข้ารับมันจึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว
ความยุติธรรม
แฟนของสาวกองนั้นดีดพิณ แฟนของสาวผองเป่าแคน แต่คืนวันนั้นได้ยินทั้งเสียงแคนและเสียงพิณ พี่น้องเลยเกี่ยงกันเข้านอน นายทองจึงโมโหไล่ลูกสาวเข้านอนทั้งสองคนหนุ่มๆก็ไม่พอใจ พอตกดึกหนุ่มหนึ่งเลยแอบขึ้นไปบนบ้านแล้วขี้ใส่ไว้บนเขียงในครัวพี่น้องตื่นขึ้นมาตอนเช้าต่างก็เกี่ยงกันทำความสะอาด ต่างก็โทษว่าแฟนของอีกฝ่ายเป็นคนขี้ พ่อแม่ได้ยินจึงลุกออกมาดู นายทองเดินไปเอามีดโต้มาแล้วฟันฉับลงไปตรงกลางขี้พร้อมกับพูดว่า"อีกองเมี่ยนส่วนนี้ อีผองเมี่ยนส่วนนั้น แม่มึงล้างเขียง กูสิล้างมีด
อ้อยกับลูกสาวคหบดี
วันหนึ่งเห็นว่าบุตรสาวของตนชักจะมีขี้ฟันมากเกรอะกรังอยู่ไรฟันเต็มไปหมดเวลาพูดจาหรือเข้าใกล้ก็มีกลิ่นเหม็นคลุ้ง คหบดีผู้นั้นคิดว่าถ้าจะปล่อยให้สภาพการณ์เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ นอกจากพวกหนุ่มๆที่เข้ามาติดตอมจะเอือมระอาแล้ว ย่อมเป็นที่รังเกียจของสังคมด้วย แต่ก็ไม่กล้าบอกบุตรสาวตรงๆเพราะเกรงบุตรสาวจะอับอายจึงได้หาอุบายโดยบอกให้บุตรสาวไปหาอ้อยมากินให้มากๆ เพื่อผิวพรรณจะได้สวยงามยิ่งขึ้น ซึ่งจริงๆแล้วอ้อยเหล่านั้นจะได้ช่วยแปรง และแทะขี้ฟันให้หลุดไปได้
เขาจึงได้ให้เงินลูกสาวเป็นจำนวนมาก เพื่อให้ไปหาซื้ออ้อยที่สวนข้างๆบ้านมาไว้กินแต่ขณะที่บุตรสาวเดินไประหว่างทางยังไม่ทันถึงสวนอ้อย เห็นพ่อค้าหาบเผือกต้มสวนทางมาหล่อนอยากกินเป็นกำลัง จึงซื้อเผือกกินเสียจนหมดเงินแล้วจึงเดินกลับบ้าน
บิดาเห็นหล่อนเดินมาแต่ไกลจึงนึกดีใจว่าขี้ฟันของลูกสาวตนคงหมดเกลี้ยงดีแล้วแต่ที่ไหนได้พอหล่อนเผยอยิ้มเท่านั้น ขี้ฟันกลับพอกพูนเกรอะกรังส่งกลิ่นตลบยิ่งขึ้นเพราะเผือกได้เข้าไปจับเกาะเต็มไปหมด คหบดีผู้นั้นเกือบล้มทั้งยืน
เห็นแต่ไกล[ คงกินอ้อยแล้ว ]ใกล้เข้ามา[ ขี้ฟันคงหมดแล้ว ]
[ ชัดเลย...หึ่งเชียว ]
คหบดีจึงถามบุตรสาวว่า "อีหนู เอ็งไม่ได้ไปซื้ออ้อยกินหรอกหรือ?"
"เปล่าจ้ะพ่อ ฉันนึกอยากกินเผือกต้ม เลยซื้อกินเสียอิ่ม" บุตรสาวตอบ
"ชะอีเวร นี่เองขี้ฟันจึงมากขึ้นตั้งบุ้งกี๋"
บุตรสาวได้ยินดังนั้นจึงทราบถึงอุบายของบิดา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจึงหมั่นซื้ออ้อยกินทุกๆวัน ฟันจึงสอาดหมดจดยิ่ง
แม่ยายเกลียดลูกสะใภ้
แต่ก่อนจะฆ่าให้แม่ทำดีกับลูกสะใภ้สัก 15 วันก่อน และก็ไปบอกเมียให้ทำดีกับแม่ 15 วันเช่นกันแล้วจะฆ่าแม่ให้ตั้งแต่นั้นมาทั้งสองต่างทำดีต่อกัน จนเกิดรักใคร่กันจริงๆพอครบ 15 วันสีมาทำท่าจะฆ่าเมียแม่ก็เข้าห้ามไว้พอจะฆ่าแม่เมียก็ห้ามไว้สีมาจึงเอาเคียวเก็บที่เดิมพร้อมยิ้มอย่างสุขใจที่แก้ปัญหาลูกสะใภ้กับแม่เกลียดกันได้สำเร็จ
อ่านแล้วน่ารักดีบิดาภูมิใจแย่เลย
พื้นเมืองเวียงจันทน์
แต่ก็ไม่ชนะสักทีทั้งที่มีกำลังมากกว่า เพราะเวียงจันทน์มีพระยานาคมาช่วยเหลือ คือเมื่อเจ้าเมืองตีกลองขึ้น
พระยานาคก็จะโผล่ขึ้นมาจากน้ำพ่นพิษใส่ทหารไทยตายหมด
กษัตริย์ไทยทราบเรื่องจึงวางแผนให้เชียงเมี่ยง ที่เป็นคนฉลาดหลักแหลม
ปลอมเป็นหมอมอ(หมอโหร) เข้าไปในเวียงจันทน์ เมื่อได้โอกาสเข้าพบเจ้าอนุ
เจ้าเมืองเวียงจันทน์ หมอมอทำนายว่าเจ้าอนุวงศ์จะได้รับมรดกที่เป็นเงินฝังไว้ที่ครกมอง
เมื่อเจ้าอนุให้คนไปขุดดูก็ได้พบจริงๆ จึงทำให้เกิดความศรัทธาเชื่อถือในหมอมอคนนี้มาก
ส่วนสาเหตุที่พบนั้น เนื่องจากเชียงเมี่ยงให้คนเอาไปฝังไว้ก่อนแล้ว
ต่อมาเชียงเมี่ยงให้คนทำว่าวติดธนู แล้วปล่อยขึ้นสูงมากจนมองไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงธนู
เจ้าอนุแปลกใจมากหาสาเหตุไม่ได้จึงให้เรียกหมอมอมาทำนายดู หมอมอปลอม(เชียงเมี่ยง)
ก็ทำนายว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนแก่บ้านเมือง เพราะเสียงนั้นคือภูตผีปีศาจที่ร้องโหยหวนจะลงมากินผู้คน
พระราชา อนุ ถามว่าจะมีวิธีแก้อย่างไร หมอมอปลอมบอกว่าจะต้องไปตัดลิ้นกลองใบนั้น
และให้อุดรูพระยานาคเสีย เสียงนั้นก็จะหายไปและภูติผีปีศาจจะไม่ลงมากินผู้คน
เจ้าอนุหลงกลจึงให้คนทำตาม
ฝ่ายเชียงเมี่ยงก็ให้คนไปตัดสายว่าว เสียงนั้นก็หายไป จากนั้นเชียงเมี่ยงก็ให้สัญญาณ
ให้กองทัพของไทยเข้าตีเวียงจันทน์ เจ้าอนุให้คนไปตีกลองเพื่อให้พระยานาคมาช่วย แต่กลองก็ตีไม่ดัง
เพราะสิ้นลิ้นไปแล้ว ประกอบกับพระยานาคก็ถูกอุดรู พระยานาคจึงไม่ได้ขึ้นมาช่วยทำให้เวียงจันทน์ต้องแพ้แก่ไทย
เจ้าอนุนั้นถูกฆ่าตาย แล้วเวียงจันทน์ก็ตกเป็นเมืองขึ้นของไทย
เรื่องนี้เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาในแถบลุ่มแม่น้ำโขงฝั่งไทย มีนครพนม สกลนคร หนองคาย เป็นต้น
ไอ้บ้าเครื่องชั่งนะโว้ย
ชายคนนั้นก็บอกให้เพื่อนไปดูนาฬิกาที่ตั้งอยู่ในบริเวณสถานีว่า บ่ายโมงแล้วหรือยัง
เพื่อนก็วิ่งไปดู แล้วก็กลับมาบอกว่า "เที่ยง...ยังไม่บ่าย" ทั้งสองก็นั่งรอรถกันต่อไป
นั่งรอกันอยู่พักใหญ่ ก็บอกให้เพื่อนวิ่งไปดูนาฬิกาอีกที ว่าบ่ายโมงหรือยัง
เพื่อนก็วิ่งไปดูอีก แล้วก็กลับมาบอกว่า "เที่ยง...ยังไม่บ่าย"
ก็นั่งรอรถกันอีก จนกระทั่งตะวันคล้อยไปแล้ว ก็บอกให้เพื่อนวิ่งไปดูนาฬิกาอีกสักที
เพื่อนก็วิ่งไปดู แล้วก็กลับมาบอกว่า "เที่ยง...ยังไม่บ่าย" เหมือนเดิม
ชายคนนั้นก็เกิดความสงสัย จึงพูดกับเพื่อนว่า "ไหน นาฬิกาที่เอ็งวิ่งไปดูมันอยู่ตรงไหน"
เพื่อนก็พาไปดูพร้อมกับชี้บอกว่า "นี่ไงล่ะ"
ชายคนนั้นหัวเราะไม่ออกจึงพูดออกมาว่า
"โธ่เอ๋ย! นั่นมันเครื่องชั่งน้ำหนักต่างหาก ไม่ใช่นาฬิกา เอ็งเข้าใจผิดไปแล้ว
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552
รวมเรื่องเล่าน่ารักๆ ของในหลวง
เหตุการณ์เกิดที่จังหวัดตาก เมื่อสมเด็จพระเทพฯทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า "ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ"
แม่ค้าตอบว่า " ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80บาทจ๊ะ"
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน
อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสานเมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่ง ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูล ที่คล่องแคล่วและใช้ ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า
"ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่าบัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า.."
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า " เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว.. "
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า "มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว"
เรื่องนี้ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำ พระบรมฉายาลักษณ์ของท่าน มาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า
"ไปบอกเค้านะเราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"
มีอยู่ครั้งหนึ่งทรงเสด็จไปพระราชทานปริญญาบัตรให้กับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในระหว่างที่ทรงเปลี่ยนในครุย ทรงโปรดสูบมวนพระโอสถ แต่ว่าทรงหาที่จุดไม่ได้ ทางอธิการบดีซึ่งเฝ้าอยู่ก็จุดไฟให้พร้อมทูลว่า "ถวายพระเพลิงพระเจ้าข้า"
ในหลวงทรงชะงัก ก่อนจะแย้มสรวลน้อยๆกับอธิการบดี ว่า"เรายังไม่ตายถวายพระเพลิงไม่ได้หรอก"
เคยมีเรื่องเล่าให้ฟังว่าในหลวงเสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว แต่ราษฎรผู้หนึ่งกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า
"ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์"
ในหลวงทรงตรัสว่า "ขอเดชะ พระหมดแล้ว"
ครั้งหนึ่งหลายๆ ปีมาแล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวี(ผิวหน้า)มีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเฝ้าฯ เพื่อถวายการรักษาคุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนังแต่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางราชาศัพท์ก็กราบบังคมทูลว่า
"เอ้อ - ทรง... อ้า-ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ"
พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า "ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่จะท้องได้ยังไง"
แล้วคงจะทรงพระกรุณาว่าหมอคงจะไม่รู้ราชาศัพท์ทางด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า
" อ้าพูดภาษาอังกฤษกันเถอะ"
เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษไป
เรื่องนี้รุ่นพี่ที่จุฬาฯเล่าให้ฟังว่า มีอยู่ปีนึงที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชทานปริญญาบัตร อธิการบดีอ่านรายชื่อบัณฑิตแล้วบังเอิญว่ามีเหตุขัดข้องบางประการ ทำให้อ่านขาดตอน ก็ต้องรีบหาว่าอ่านรายชื่อไปถึงไหนแล้ว ปรากฏว่าในหลวงท่านทรงจำได้ ท่านเลยตรัสกับอธิการไปว่า
"เมื่อกี้นี้ (ชื่อ....) เค้ารับไปแล้ว"
และมีอีกปีนึงขณะที่พระราชทานปริญญาบัตรอยู่ดีๆ ไฟดับไปชั่วขณะ ทำให้บัณฑิตคนหนึ่งพลาดโอกาสครั้งสำคัญในการถ่ายรูป พอในหลวงทรงพระราชทานปริญญาบัตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะให้พระบรมราโชวาท ท่านทรงให้อธิการบดีเรียกบัณฑิตคนนั้นมารับพระราชทานอีกครั้ง เพื่อจะได้มีรูปไว้เป็นที่ระลึก ตื้นตันกันถ้วนทั่วทั้งหอประชุม
เรื่องการใช้ราชาศัพท์กับในหลวง ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน และไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนมีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า
" ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคม ทูลรายงาน ฯลฯ "
เมื่อสิ้นคำกราบบังคมทูลชื่อในหลวงทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ ถือสาว่า " เออ ดี เราชื่อเดียวกัน.."
ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้
วันหนึ่งพระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรของท่านตามปกติที่ต่างจังหวัด ก็มีชาวบ้านมาต้อนรับในหลวงมากมาย พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาตามลาดพระบาท ที่แถวหน้าก็มีหญิงชราแก่คนหนึ่งได้ก้มลงกราบแทบพระบาท แล้วก็เอามือของแกมาจับ พระหัตถ์ของในหลวง แล้วก็พูดว่ายายดีใจเหลือเกินที่ได้เจอในหลวง แล้วก็พูดว่ายายอย่างโน้น ยายอย่างนี้ อีกตั้งมากมายแต่ในหลวงก็ทรงเฉยๆ มิได้ตรัสรับสั่งตอบว่ากระไร แต่พวกข้าราชบริภารก็มองหน้ากันใหญ่ กลัวว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่ แต่พอพวกเราได้ยินพระองค์รับสั่งตอบว่ากับหญิงชราคนนั้น ก็ทำให้เราถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเพราะพระองค์ทรงตรัส! ว่า
" เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิถึงจะถูก"
เช้าวันหนึ่ง เวลาประมาณ 7 โมงเช้า นางสนองพระโอษฐ์ ของฟ้าหญิงองค์เล็ก ได้รับโทรศัพท์เป็นเสียงผู้ชาย ขอพูดสายกับฟ้าหญิง ทางนางสนองพระโอฐก็สอบถามว่าใครจะพูดสายด้วย ก็มีเสียงตอบกลับมาว่า" คนที่แบงค์ "
นางสนองพระโอฐก้อ งง .....งง ว่าคนที่แบงค์ทำไมโทรมาแต่เช้า แบงค์ก้อยังไม่เปิดนี่หว่า พอฟ้าหญิงรับโทรศัพท์แล้วถึงได้รู้ว่า คนที่แบงค์น่ะ ก็ที่แบงค์จริงๆนะ ไม่เชื่อเปิด กระเป๋าตังค์ แล้วหยิบแบงค์มาดูสิ อิ อิ ขนลุกเลย
สามก๊กฉบับเฉลิมไทย
ก่อนหน้าปี ค.ศ. 184 ราชวงศ์ฮั่นที่ก่อกำเนิดขึ้นจาก เล่าปัง ซึ่งสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าฮั่น โกโจ ได้ปกครองแผ่นดินจีนและวางรากฐานอย่างยอดเยี่ยมมาจนถึง ยุคของพระเจ้า เลนเต้ ซึ่งเป็นยุคที่กระเทยครองโลกขันทีทั้งสิบจัดการมอมเมาฮ่องเต้ ด้วย สุรานารี พริตี้ และ โคโยตี้โบราณ ทำเอาพระเจ้าเลนเต้วันๆเอาแต่ซื้อดริ้งค์ จนไม่เป็นอันบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้าวันหนึ่งในกระท่อมเล็กๆแห่งหนึ่ง ณ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน พี่น้อง นักดนตรี อายุ ในราวสามสิบขึ้นไป ทั้งสามคนกำลังนั่งปรับทุกข์กันอยู่ เขาคือ เตียว บิ๊ก เตียวบอมบ์ และ เตียว บอย เออ......เพื่อความถูกต้องในเกร็ดประวัติศาสตร์ผมลงชื่อจริงดีกว่าจะครับ เขาคือ เตียว ก๊ก เตียว โป๊ และ เตียว เหลียงพี่คนโตกล่าวกับน้องๆทั้งสองของเขาว่า “เราต้องมาคุยกันหน่อยแล้วช่วงนี้ อาชีพนักดนตรีของพวกเราเริ่มถึงจุดที่หน้าเป็นห่วง เราควรจะมาช่วยคิดว่าทำอย่างไรเราทั้งสามคน จึงจะสามารถเป็นคนของมหาชนได้สักที น้องทั้งสองของพี่จงช่วยคิดกันทีเถิด”น้องคนกลาง ซึ่งหน้าตารื่นเริ่งอย่างไม่มีเหตุผลอยู่ตลอดเวลา หัวเราะขึ้นมาดังๆว่า “ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อยากเป็นคนของมหาชน เราก็ต้องไปขออนุญาต เสธ.หนั่นสิครับพี่ วะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”น้องคนเล็กซึ่งทำใจกับมุขตลกที่ต้องช่วยกันขำในครัวเรือนของพี่คนรอง ไปเสียแล้วกล่าวเอาใจขึ้นมาว่า “ พี่เตียว บอย เอ้ย เตียวโป๊ ตลกจังเลยครับมุขนี้คิดได้ไงครับพี่” จริงๆแล้วน้องคนเล็กเป็นคนจิตใจดีมาก เพราะเขาไม่อยากเบรคพี่รองเนื่องจากอยากให้พี่รองมั่นใจในตัวเองว่าเขาเป็น นักดนตรีหนุ่มอารมณ์ดี หลายครั้งเขาจึงต้องฝืนทนกับมุขตลกที่ต้อง คิด ก่อนขำ ของพี่ชายคนรองเสมอ“ดีมากเจ้ารอง จงจำมุขนี้ไว้ใช้ในรายการในช่วงมุขเสื่อมด้วยนะ….เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องกันเสียที พี่ขอพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันกันก่อน ตอนนี้ในวงการ เอ้ยในราชสำนัก ฮั่นตอนนี้ฟอนเฟาะยิ่งนัก สิบขันที กำลังมีเรทติ้งอำนาจกระฉูด พวกเราก็รวมตัวกันมาจนอายุป่านนี้แล้ว แม่แต่ อาม่าหน้าปากซอยยังไม่รู้ว่าพวกเราเป็นคนในวงการ เอ้ย เป็นคนในยุทธจักร พวกเราควรที่จะมาเบรนสตอร์มวางแผนการตลาด ปรับปรุงอิมเมจกันเสียใหม่ มิฉะนั้น เราอาจจะต้องจำใจกลับไปขายเกี๊ยวกันต่อไป น้องทั้งสองจงช่วยคิดว่าทำอย่างไร เราจึงจะมีแฟนคลับกะเขาบ้างสักที”น้องรองหยุดยิ้มชั่วครู่ก่อนจะให้ความเห็นว่า “หรือเราควรจะทำรายการสักรายการหนึ่ง ที่เชิญแขกรับเชิญ มา นั่งเงียบๆฟังพวกเราพูดดีไหม ท่านพี่”“ทุกวันนี้เราก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้วมิใช่หรือ พี่รอง” น้องสามกล่าวเตือนให้สติ“หรือเพื่อให้เข้าสู่ประชาชนระดับรากหญ้า เรา ควรจะให้เสียงเรากระจายไปสู่รถเมล์ตอนเช้า”“พี่รอง เรื่องของพวกเราเพิ่งเป็นกระทู้แนะนำ ไปเองนะท่านพี่”พี่ใหญ่ตัดบท“นักปราชญ์โบราณกล่าวไว้ หากจะสร้างกระแส ก็ ต้องดูกระแส เจ้าทั้งสองลองคิดสิว่าตอนนี้กระแสใดกำลังมาแรง”“จตุคาม จุฬา มะ เทพ ว่ะฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” พี่รองหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ ยัง... จตุคาม รามเทพ” น้องสามต้องช่วยแก้อีกตามเคย บางทีเขาก็สงสัยว่าถ้าครอบครัวนี้ไม่มีเขาจะอยู่กันยังไง(***หมายเหตุ สำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจมุขดังกล่าว แล้วรู้สึกไม่สบายใจสามารถส่งข้อสงสัย สักถามมาได้ ผู้เขียนจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดต่อไปว่าควรจะขำ ตรง ประโยคไหนและจังหวะขำที่ถูกต้องควรจะเป็นอย่างไรจึงจะเหมาะสม***(ผู้เขียน))“ใช่แล้วความศักสิทธิ์ เนื่องจากผู้คนหมดหวังต้องไปพึ่งสิ่งศักสิทธิ์ กันหมด ฉะนั้นถ้าเราจะดัง เราก็ควรจะเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง”“หลักทู่ มากพี่เตียวก๊ก”“หลัก แหลมต่างหาก” น้องสามกำดาบไว้ในมือแน่น เมือกี้เขาเกือบจะฟันคอพี่รองเสียแล้ว“น้องทั้งสองของพี่ จงไปหา หน้าแพะ มา”“...............................................” ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่เพราะไม่ทราบว่าพี่ใหญ่พูดอะไร“เออ.............พี่หมายถึงหน้าม้าน่ะแก้เองก็ได้วะ คือ ให้หน้าม้ามาทำฟอร์มป่วยและให้พี่รักษาให้หายรับรองว่า ข่าวนี้จะแพร่สะพัดไปสู่ ผู้ยากไร้ทั่วแผ่นดินจีน และ แล้ววันที่ฝันของพวกเราจะเป็นจริง นั้นคือวันที่พวกเราจะมีแฟนคลับก็จะมาถึง“ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” น้องรองขำด้วยเสียงอันดังอีกตามเคยซึ่ง แม้แต่ผู้เขียนก็ไม่ทราบว่ามันขำเรื่องอะไร“ถ้าถึงวันนั้น เราทั้งสามคนควรจะมีตำแหน่งกัน เป็นแม่ทัพ เจ้าสวรรค์ แม่ทัพเจ้าโลก(หมายถึงเจ้าของโลก) และ แม่ทัพสมุทร”“ดีมากน้องสามเจ้าคิดว่าเพื่อความเป็นยูนิตี้แฟนคลับเราควรจะมีสัญลักษณ์ด้วยจะดีไหม”“โพกหัวดีกว่าดู เฮฟวี่ ดี ข้าว่ามันดูทันสมัยมาก” น้องรองพูดถึงแฟชั่นเฮฟว่าที่ทันสมัยมากเมื่อ 15ปีที่แล้ว“ข้าชอบสีทองแต่มันหายากงั้นย้อมสีผ้าโพกหัวเป็นสีเหลืองแล้วกัน จะได้ดูเด่น เจ้าทั้งสองเห็นด้วยไหม”“เราทั้งสามเห็นตรงกันพี่ใหญ่”“คำขวัญ ประจำตระกูลของเรา หากอยากเจริญ พวกเราต้องเชิญแขก เจ้าจงเชิญชาวบ้านที่เดือดร้อนทั่วแผ่นดินมาเป็นแฟนคลับของเรา และวันนี้พวกเราสามพี่น้องจะเขย่า ปฐพีเสียที”“ว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”สิ้นเสียงหัวเราะของเจ้ารองชายหนุ่มอารมณ์ดีใครจะรู้ว่าวันนั้น กบฎชาวนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน ยุคที่ราชวงศ์ฮั่นปกครองได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว......................
ช่วงเวลาบ่ายแก่ๆ ณเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งของประเทศจีน ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าจับจ่ายใช้สอย สำหรับวัยรุ่นชาวจีน ณ ปี ค.ศ. 184 ยิ่งนัก เมืองเล็กๆแห่งนี้มีชื่อว่าเมือง “ตุ้นกวน” บ่ายวันนั้น มีคนเห็นชายหนุ่ม ผิวขาว หูยาว ไว้หนวดจิ๋ม มือที่ยาวเป็นพิเศษของเขา ถือ ออร์กาไนซ์เซอร์โบราณที่ทำจากไม่ไผ่ สายตาที่หวานเยื้อมเป็นพิเศษของเขากำลัง มองหาชายหนุ่มหน้าตาดีพร้อมกับตรงเข้าไปพูดคุย“น้องสนใจเข้าวงการไหมจ๊ะ”หนุ่มน้อยหน้าใสมองหน้าเขางงๆ พร้อมกับถามว่า “วงการอะไรครับพี่”“พี่เป็นโมเดลลิ่ง ประจำเมืองตุ้นกวนของเราคะ พี่กำลังมองหา หนุ่มหน้าตาดีไปประกวด ตุ้นกวนแฟนตาเซียอยู่น้องสนใจไหม จ๊ะ”หนุ่มน้อย มองหน้าชายหนุ่มหน้าขาวด้วยประกายตามีความหวัง“ หน้าอย่างผมประกวดได้ด้วยเหรอครับ”หนุ่มหน้าขาวถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะมองหน้าวัยรุ่นชาวจีนหน้าขาวอย่างพินิจพิเคราะห์ “ก็พอจะได้นะจ๊ะ แต่อาจจะต้องฝึกร้องเพลงก่อนพี่ขอเก็บเงินค่าฝึกก่อน 500อีแปะ”หนุ่มน้อยตกใจเป็นอย่างมาก “ทำไมต้องเก็บก่อนด้วยเหรอครับ ผมไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก”ชายหนุ่มหน้าขาวชักมีสีหน้าไม่พอใจ “เอ๊ะน้องนี่ไม่เชื่อพี่เหรอ แกไม่รู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร”“เออ.......พี่เป็นใครครับ” หนุ่มน้อยชักสีหน้าสลด“นี่นามบัตรไม้ไผ่ของฉัน”หนุ่มน้อยหน้าตาดีอ่านด้วยเสียงอันดัง “เล่าปี่ เหี้ยนเต๊ก ........เชื้อพระวงศ์ฮั่น”“นี่เธอรู้แล้วยังว่าฉันเป็นไฮโซ.....ฉันรู้จักคนดังมากมาย ทั้ง เป็นญาติพระเจ้าเหี้ยนเต้ 10ขันที นี่ซี้กันเลย เจอหน้านี่ยกมือไหว้ฉันกันทุกคน โดยเฉพาะขันทีเบอร์8 ฉายามดดำจีนนี่ซี้กันมาก”“เออ............งั้นผมไม่เรียนก็แล้วกันครับ”“กรี๊ด....แกกล้าปฏิเสธฉันเหรอยะ”“ผมอ่านเรื่องของพี่ ที่บอร์ดประจำเมืองแล้วครับ เรื่องที่พี่มาหลอกคนเรื่องถ่ายแบบผมไปแล้วนะครับ”และแล้วหนุ่มน้อยก็เดินจากไปพร้อมกับทิ้งให้ “เล่าปี่ เหี้ยนเต๊ก” ถอนหายใจอย่างท้อแท้ หลังจากเรื่องของเขาแพร่ออกไปในเมือง การหากินก็ลำบากมากขึ้น เขาถึงกับต้องทอเสื่อ และ รองเท้าขาย เพื่อเลี้ยงแม่คนหนึ่ง จริงๆแล้วเขาก็เกลียดตัวเองที่เป็นอย่างนี้ แต่ภายในสถานการ์ณ บ้านเมืองไม่สงบ เศรษฐกิจฝืดเคื่อง แต่ละคนล้วนมีภาระที่ยากลำบากไม่มีใครอยากเป็นคนชั่ว แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ เขาแค่อยากหาใครสักคนที่เข้าใจเขา เธอ ..... เอ้ย...เขาตัดสินใจไปที่บอร์ดประจำเมืองเพื่อลบกระทู้ของเขาออก มิฉะนั้นอาชีพของเขาก็คงต้องจบลงจริงๆ แต่เมื่อไปที่บอร์ดประกาศประจำเมืองตุ้นกวนเขาก็หน้าซีดเผือด หน้าที่ขาวอยู่แล้วยิ่งขาวซีดลงไปอีก เพราะมีชาวเมืองมามุงดูบอร์ดเป็นจำนวนมาก “..........หรือว่าฉันต้องหนีออกจากประเทศนี้...........”เล่าปี่ได้แต่ก้มหน้าก้มตาเหมือนกระเทยสำนึกผิดเข้า แต่ต้องเก๊กแมนไปถามชาวบ้านข้างหน้าว่า “เจ้ จ๋า นี่เขาประกาศเรื่องอะไรกันจ๊ะ”“อ๋อ.... ทางการเค้าเกณท์ ทหารไปปราบโจรโพกผ้าเหลืองน่ะ”“เอ๋............ปราบโจรเหรอคะ เอ้ย...ครับ ไม่มีเรื่องอื่นแล้วเหรอครับ”“เรื่องอื่นโดนเอาออกไปหมดแล้ว ณ ช่วงนี้กระแสปราบอำนาจเก่า เอ้ย อำนาจโจรกำลังอินเทรนด์ ป้าว่าเดี๋ยวจะลองส่งไอ้แก่ที่บ้านไปบ้าง เผื่อจะรุ่ง”เล่าปี่ ได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ เฮือกใหญ่โล่งใจที่เรื่องของตัวเองกำลังจะถูกลืม ทันใดนั้นก็มีเสียงอันดังปานภูผาถล่ม ตะคอกเขาว่า“เป็นผู้ชายเสียเปล่า มาถอนหายใจเรื่องชาติบ้านเมืองอย่างนี้ มันน่าละอายนักนะท่าน”เล่าปี่ หันไปค้อน ก่อนจะเห็นรูปร่าง บึกบึนลำสันไว้หนวดคมเข้ม มีเครา กระเส่าใจ เขายิ่งนัก จึงอดไม่ได้ว่าจะถามว่า“พี่ท่านนี้มี ชื่อ แซ่ อันใด”“ข้า....เตียวหุย เอ๊กเต๊ก คนขายหมูเว้ย”มิเตอร์ พิเศษ ของเล่าปี่(ปัจจุบันเราเรียกกันว่าเกย์มิเตอร์ )บอกกับเขาว่า บางทีชายหนุ่มลำบึ๊กคนนี้ อาจจะใช่.....บางสิ่งที่เข้ากับเขาได้“ บางทีเราอาจมี “อุดมการณ์” แบบเดียวกัน ขอเชิญน้องชายท่านนี้ไปแลกเปลี่ยนอุดมการณ์ กับข้าสักครู่จะได้ไหม”เตียวหุย มองท่าทางการพูดการจาของเล่าปี่ จึงเริ่มล่วงรู้ความใน ก่อนจะนึกในใจว่า ลองหน่อยก็ได้วะ”หลังจากหายไปแลกเปลี่ยนอุดมการณ์กัน ประมาณ หนึ่งชั่วยาม ทั้งคู่ ก็ได้มานั่งที่ร้านกาแฟตุ้นกวนบั๊ค พร้อมกับพูดคุยอย่างสนิทสนมกว่าเดิมมาก“เจ๊.....เออ....พี่ชายคิดจะ ทำเช่นไรต่อไป….ครับพี่” สังเกตว่าคำว่าเว้ย หายไปจากประโยคของเตียวหุย“ข้าเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ธุรกิจโมเดลลิ่งในเมืองนี้ก็เริ่มฝืดเคือง ข้าอาจจะต้องออกจากเมืองนี้สักที”ทันใดนั้นเริ่มมีรังสีอำมหิตจากโต๊ะข้างๆ เมือมีชายหนุ่ม หนวดเครายาวนั่ง หน้าแดงด้วยความโกรธมองมายังโต๊ะของ เล่าปี่ และ เตียวหุย“อีนี่ เป็นใคร.....”เตียวหุย หน้าซีดเผือด “เออ......เพื่อน เอ้ย พี่ชายน่ะคุยเรื่องเกณท์ทหารกัน พี่กวนอู นั่งก่อนสิครับ”“ไม่ต้องมาโกหก หือๆ ดูก็รู้แล้วว่ามันเป็นใคร ที่ทำกันในห้องเมื่อกี้นี้นึกว่าไม่รู้หรือไง อ๋อ คุยเรื่องเกณฑ์ทหารกันเหรอ สองคนยังไม่พอใช่ไหม อยากล่อทั้งกองทัพเลย นะมึ.ง.”กวนอูยกง้าวขึ้นมา “ผู้ชายมันก็เลวอย่างนี้ทุกคน คนที่แล้วก็ทำกับพี่แบบนี้แหละ เตียวหุยไม่รู้ใช่ไหมว่าพี่จัดการมันยังไง”เตียวหุยทำหน้าสำนึกผิด “ผมขอโทษครับพี่....ผม..เออไม่ได้ตั้งใจ”เล่าปี่ได้ยินดังนั้น ก็เริ่มสงสารชายหน้าแดง เนื่องจากเขาเข้าใจถึงความเจ็บปวดเช่นนี้ดีเขาใช่ว่าไม่เคยผ่านมันมาก่อน“น้องชายท่านนี้โปรดนั่งลงก่อน ข้าเห็นใจท่าน ขอให้เชื่อว่าเราหัวอกเดียวกัน ถ้าข้ารู้ข้าคงไม่ทำ เอางี้ดีกว่ามาถามเจ้าตัวดีว่ามันจะเลือกใคร”เตียว หุย เริ่ม งีด....เขาไม่นึกว่าจะเจอเหตุการณ์ลำบากใจเช่นนี้มาก่อน“เออ ขาดเธอก็เหงา ขาดเขาก็คงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเธอเอาไว้ทั้งสองคน”“เจ้า น่าจะแซ่ ทา ทา มากกว่า......”“ยัง!!!!” เตียวหุยตอบไปโดยไม่รู้ว่าอีก พันสองร้อยกว่าปีต่อมา มันจะกลายเป็นมุขคาเฟ่หลังจากเคลียร์กันอยู่นาน ทั้งสามก็เริ่มเห็นใจกัน เล่าปี่ ก็ มีแต่คนในเมืองเกลียดโดยไม่เห็นใจความจำเป็นของเธอ กวนอู ต้องหนีคดีฆ่าคนรักเก่า ที่บ้านเกิด เตียวหุย ไม่อาจตัดใจจากพี่ทั้งสองได้.....ต่างคน ต่างมีปัญหาส่วนตัว ต่างคนต่าง “เห็น” หัวอกซึ่งกันและกัน....หลังจากถกความในใจกันยกใหญ่ อีกสองยก... ทั้งสามจึงตัดสินใจทำบางสิ่งที่จะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติจีนแน่นอนว่า ยุคนั้น กฏหมายให้เกย์แต่งงานได้ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น...ทั้งสามจึงตัดสินใจ สาบาน ตนเป็นพี่น้องร่วมสาบานไปพลางๆก่อนพิธีสาบานตนจัดขึ้นที่สวนท้อ ทั้ง แม้จะไม่ต้องจัดงานแถลงข่าว แต่ด้วยฝีมือ ปาปาราซซี่โบราณ ทำให้ข่าวกระจายไปอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านเข้าใจว่า ผู้กล้าสามคนได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว....... การเป็นพี่น้องร่วมสาบาน สมัยนั้นผู้คนเห็นว่าเป็นเรื่องของ “ชายชาตรี”ที่ดูแมนมากๆเท่านั้นที่ทำกัน ชาวบ้านจึงได้เข้ามาขอเป็นกองทหารอาสา พร้อม ได้รับสปอนเซอร์เป็นม้า ห้าร้อยเชือก จาก เศรษฐีชื่อเตียว สิ เพง บริจาคให้ในนาน เตียวสิเพงคอเปอร์เรชั่นบรรยากาศในงานผู้คนชื่นมื่น ร้องรำทำเพลง นักดนตรีเจ้งขับกล่อมเพลง จีนโบราณ แสนไพเราะยิ่งนัก ถอดเนื้อความเป็นไทยได้ว่า....“แต่ เราก็หากันจนเจอ มานานแค่ไหนที่รอเธอมา รู้สึกไหมว่าชีวิตมันล้ำค่า เมื่อมีใครสักคนข้างกาย โว้วๆๆ เย่ๆๆ”ตำนานแห่งจ๊กก๊กอันยิ่งใหญ่เริ่มต้น ณ วันนั้นวันที่สวนท้อ ออกดอกบานสะพรั่ง ในฤดูชุนเทียนที่ บางคนสังเกตว่าสีของดอกท้อวันนั้น.............................สีออก ม่วงๆ.........................
ก็อบมาจาก pantip.com
สอนโดยไม่สอน
ช่วงแรกๆที่ผม สนใจเรื่องเกี่ยวกับเซน ดูจะหาตำราที่ แยกเป็นเอกเทศหมวดหมู่ได้ยากมาก คือ มักจะพบกล่าวถึงเกร็ด ต่างๆซะมากกว่า เช่นคำสอนของปรมจารย์ทางเซน ซึ่งผมรู้สึกว่าหลายๆท่านสอนได้ แหวกดี
แต่พอเริ่มรวบรวมแนวคิดต่างๆมากขึ้นก็รู้แล้วว่า ไม่แปลก ผมรู้สึกว่าปรมาจารย์ทางเซน หลายๆท่านนั้นคล้ายผู้กำกับหนัง อินดี้ ซึ่งบางครั้งก็ทำหนังดูแล้วตัวเองก็เข้าใจอย่างหนึ่ง
แต่คนดูไปตีความอีกอย่างหนึ่ง ตามจริตของแต่ละคน นักวิจารณ์บางท่านอาจซึมทราบกับ ภาพที่สั่นไหว โดยตีความว่าเกิดจากความพยายามแสดงอารมณ์ อันหวั่นไหวของตัวละคร ในขณะที่จริงๆแล้วภาพที่สั่นอาจเกิดจากตากล้อง ทะเลาะกับเมียเลยลืมขาตั้งกล้องมา
โอ๊ตเพื่อนผมเคยบอกว่าเคยดูหนังอินดี้เรื่องหนึ่งแล้วตื่นตาตื่นใจกับการนำเสนอของผู้กำกับมาก ตัวละครดูไม่มีที่มาที่ไป ดำเนินเรื่องไปสิบห้านาทีพระเอกตายซะงั้น มันบอกว่ารู้สึกถึงความกล้าหาญของผู้กำกับมากที่ กล้า “ฆ่า”พระเอกภายในสิบห้านาทีแรกทำให้มันอยากรู้ว่าเรื่องที่เหลือจะดำเนินต่อยังไง แต่ดูไปอีกสองนาที...........หนังจบแล้ว.....
โอ้โห เป็นงานที่กระชากใจผู้ชมยิ่งนักที่ให้บทสรุปอัน ห้วนสั้น ที่ทิ้งปมสงสัยไว้กองพะเนินให้กับจิตใจผู้ชม มันยอมรับว่าไม่เคย “ติดใจ” หนังเรื่องใดเท่าเรื่องนี้มาก่อน นี่อาจเป็นความ สุดยอดของผู้กำกับ ที่กล้า “เล่น” กับความรู้สึกคนดูขนาดนี้.....
หนังจบเอาแผ่น (วีซีดี) ออกจากเครื่อง ถึงกับทำให้มันพิจารณาที่แผ่นอย่างละเอียดมิได้........... แล้วความกระจ่าง ก็ เกิดขึ้นกับมันเหมือน ฟ้าผ่ากลางหน้าแล้ง.............. บางครั้งความรู้แจ้งอาจเกิดขึ้นเอง..........
......................................................แผ่นที่สอง..B..............................................................................
…..(-_-“).............
......นี่ตูหยิบแผ่นผิดนี่หว่า..............
อืม นี่อาจเป็นความตั้งใจของผู้กำกับก็ได้(มั้ง) ถ้าดูแผ่น A ก่อน ความรู้สึกมันอาจต่างจากนี้ก็ได้.......
แต่ ปรมาจารย์ทางเซนคงเข้าใจในจุดนี้ ถึง เป็นตำราคัมภีร์ หรือ เป็นแบบแผน อย่างไร สิ่งใดๆในโลกก็ล้วนแต่ต้องผ่านการตีความ เฉพาะ บุคคล อยู่ดี ซึ่งประสบการณ์แต่ละคนย่อมต่างกัน
การรู้แจ้ง เป็นแนวทางเฉพาะบุคคล แต่ละคนต้องแสวงหาหนทางของตนเอง ดังนั้น หลายๆท่านจึงเลือกที่จะ “สอน โดย ไม่สอน”
สอน โดย ไม่ต้องพูด สอน โดยสัญลักษณ์ สอน ด้วยคำพูดแปลกๆ บาง ท่านสอนด้วยงานศิลปะ ( ศิลปะ หลาย แขนง ในจีน หรือ ญี่ปุ่น ล้วนได้รับ อิทธิพลจากแนวทางเซนค่อนข้างมาก)
เชื่อกันว่า คำสอนแนวทาง “เซน” ครั้งแรกเกิดขึ้น เมื่อ พระพุทธเจ้า ประชุม สงฆ์ ที่ ภูเขา คิชกูฎ อยู่ๆ พระองค์ก็ หยิบ ดอกไม้ ช่อหนึ่ง ที่ พุทธศาสนิกชนนำมาถวาย ขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไร.....
พระสงฆ์ ที่ มาร่วมประชุม ก็ นั่งนิ่ง....... ไม่แปลก...... เป็นคุณ หรือ ผมก็คงจะทำอย่างนั้น.....
แต่ มี พระ รูปหนึ่ง ที่ต่างออกไป........
“พระมหากัสปะ เถระ”
ท่านยิ้ม
พระพุทธเจ้า จึง ทรง มอบช่อดอกไม้ให้ แล้วตรัสว่า
“ดูกร มหากัสสปะ.....เราขอมอบทรัพย์อันประเสริฐ คือ โลกุตตรธรรมนี้ให้แก่เธอ ณ บัดนี้”
(ที่มา ที่เดิม จากหนังสือ นิกายเซน เขียนโดย มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช)
และ พระมหากัสปะ ท่านคือ พระสังฆปริณายก องค์ที่ 1.........
เป็น ตำนาน ที่ “ART” มาก.....ใช่ไหมครับ
ตำนานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า................
นั่นสิครับสอนให้รู้ว่าอะไร จริงๆมีคนแปลความหมายตำนานเรื่องนี้ไว้หลายท่าน และ พยายาม บอกว่า สื่อถึงหลักธรรมข้อไหน เหมือนกัน แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า....... เป็นการตีความภายหลัง ซึ่งอาจไม่จำเป็นเลยก็ได้เพราะ ผมเชื่อว่า คนที่ “เข้าใจ.....ไม่ใช่สิ ผมอยากใช้คำว่าเข้าถึง คำสอน จากดอกไม้ช่อนั้นจริงๆ อาจ มีเพียงท่าน มหากัสปะ เพียง ท่านเดียวก็ได้..............
เพราะ การบรรลุธรรม เป็น หนทางเฉพาะตน
มีคน ชี้ทางได้.....
แต่ ต้องเดินไปเอง.....
ส่วนจะไปถึง หรือ ไม่........ไม่ รู้.....
เพราะจะรู้ ก็ต่อเมื่อถึงเวลา...................
ขอจบห้วนๆด่วนๆแต่เพียงเท่านี้ บทความเรื่องนี้ไม่มีแผ่นที่สองครับ ถ้างงก็ช่วยไม่ได้ แล้วกัน แต่ผมเขียนแล้วผมรู้สึกว่า ตัวเองเข้าใจ......(มั้ง)นะ.....
บทหน้าจะกล่าวถึง ท่านตั๊กม้อ...พระสังฆปริณายก องค์ที่ 27 ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อ ต้นกำเนิดของนิกายเซน คอนิยายกำลังภายในคงคุ้นชื่อกันดี........โปรดตามต่อด้วยใจระทึก...นะตัวเอง...
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ชายใดเป็นเนื้อคู่เรา
1.เธออยากเปรี้ยวด้วยวิธีไหน?
ก. คอนแท็กเลนส์สีต่างๆ ไปข้อ 3
ข. แว่นกันแดดขนาดใหญ่ ไปข้อ 5
2.เครื่องประดับที่เธอมีอยู่ ประมาณกี่ชิ้น?
ก. มากกว่า 5 ชิ้น ไปข้อ6
ข. 2-3 ชิ้น ไปข้อ11
3.เธอคิดอย่างไรกับผู้หญิงที่เพ้นท์เล็บ?
ก. เท่ดี ไปข้อ9
ข. ไม่เห็นสวยเลย ไปข้อ7
4.ของที่เธออยากได้จากเค้า มากที่สุด?
ก. ต่างหู ไปข้อ 2ข. แหวน ไปข้อ8
5.เธอจะเน้นแต่งสวยตรงไหนมากกว่ากัน?
ก. ดวงตา - การใช้อายชาโดว์ ไปข้อ 7
ข. ริมฝีปาก - สีของลิปสติก ไปข้อ4
6.เธออยากลองทำอะไร เป็นอย่างแรก?
ก. เจาะหู ไปข้อ10
ข. สวมสร้อยข้อเท้า ไปข้อ11
7.เข็มกลัดติดเสื้อของเธอ..
ก. ใช้บ่อยๆ ไปข้อ2
ข. แทบไม่เคยใช้เลย ไปข้อ9
8.ถ้าเธอสวมสร้อยข้อมือหรือกำไล เธอจะสวมใส่ลักษณะใด?
ก. ใส่ทีละหลายๆ เส้น ไปข้อ 12
ข. เลือกแบบเรียบ และใส่แค่เส้นเดียว ไปข้อ13
9.ถ้าเธอทาทั้งเล็บมือและเท้า เธอจะเลือกสีอย่างไร?
ก. เลือกสีเดียวกัน ไปข้อ2
ข. อยากทาคนละสี ไปข้อ6
10.เธอชอบต่างหูแบบไหน?
ก. แบบติดหู ไปข้อ 11
ข. แบบตุ้งติ้ง ไปแบบ A
11.ถ้าให้เธอเลือกสวมแหวนเพียงวงเดียวนิ้วกลางมือขวา เธอจะเลือกสวม..?
ก. แหวนหัวลายดอกไม้ แบบแฟชั่น ไปแบบ A
ข. แหวนทองแบบเรียบๆ ไปแบบ C
12.ถ้าให้เธอใช้ผ้าพันคอแต่งเป็นจุดเด่นของเธอ เธอจะ..?
ก. เลือกผืนใหญ่ๆ และคลุมไหล่ไว้ ไปแบบ B
ข. เลือกผืนเล็ก แล้วผูกไว้ที่ปกเสื้อ ไปแบบ D
13.เธอชอบแบบไหน ระหว่าง..?
ก. สร้อยคอเส้นโตๆ แบบเปรี๊ยว ไปข้อ 12
ข. สร้อยคอห้อยจี้เส้นเล็กๆ น่ารัก ไปแบบ D
เฉลย.. แบบ A เค้าอายุมากกว่าเธอมากคนขี้อ้อน ต้องการการดูแลเอาใจใส่อยู่ตลอดเวลาอย่างเธอ เหมาะที่จะเลือกผู้ชายที่มีวุฒิภาวะและอายมากกว่าเธอมากๆ อย่างน้อย 5 ปี ซึ่งจะทำให้เธออุ่นใจได้ โดยที่หนุ่มวัยเดียวกับเธอคงยากที่ให้ได้ ช่องว่างระหว่างวัยที่ห่างกันมากอย่างนี้ ไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย ถ้าหากเธอนิยามว่า ความรักคือศรัทธา และเค้าก็เป็นผู้ใหญ่ที่ตามใจเด็กงอแงอย่างเธอ เธอจะติดใจจนไม่อยากมีแฟนเด็กอีกเลยล่ะ
แบบ B เขาอายุมากกว่าเธอ 3-5 ปี อย่างเธอนี่ ถ้าเป็นผู้ชายอายุเท่ากันๆ เธอจะรู้สึกว่า เค้าเด็กจัง แต่ถ้าอายุห่างกันมากไปก็จะเกิดช่องว่างระหว่างวัยอีก ซึ่งถ้าเค้าโตกว่าเธอซัก 3-4 ปี คงกำลังดี เธอกับเค้าจึงสามารถเป็นได้ทั้งแฟนและพี่น้องที่เข้าใจกันได้ ไม่ใช้น้าหลานที่คุยกันไม่รู้เรื่องเพราะอายุห่างกันเกินไป
แบบC เขาอายุไล่เลี่ยกัน เธอชอบที่จะคบกับเพศตรงข้ามแบบเพื่อนมากกว่า จะได้คุยกันได้ในทุกๆ เรื่อง ความคิดอ่าน คล้ายคลึงกัน คบกันแบบไม่ต้องมีพิธีรีตรองมาก เธอจึงควรเลือกหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะเธอต้องการแฟนที่ให้ความเป็นเพื่อนสูง ต้องการการพูดคุยและสิทธิที่เสมอภาคกัน แฟนที่อายุเท่าๆ กัน จึงเป็นคำตอบสุดท้ายของเธอ
แบบ D เขาเด็กกว่า เธอเป็นผู้หญิงที่มีสัณชาตญาณ ความเป็นแม่สูง ชอบดูแลเป็นธุระให้ใครๆ แม้แต่แฟนเธอจะมีความสุขมากเมื่อได้คอยเอาใจใส่และทำอะไรๆให้กับแฟนซึ่งจะให้เหมาะ ก็ควรเลือกแฟนที่เป็นเหมือนน้องชายไปด้วยซึ่งก็ต้องอายุน้อยกว่าเธอนั่นเอง ก็ต้องยอมรับว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากๆ ที่สามารถทำให้รุ่นน้องมาหลงใหลได้ปลื้มจนใครๆ ต้องอิจฉาเธอ เปรียบได้กับคู่รักฮอลลีวูดอย่าง เดมี่ มัวร์ กับ แอชตัน คุชเช่อร์ รักต่างวัย 10 ปี ที่ดูดดื่มจนสาวๆ อิจฉา ตาลุกเป็นไฟ เพราะสาวแก่ งาบไก่อ่อนสุดหล่อไปทานสบายปาก
10อันดับนางแบบ
เจ้าของ อันดับ 1 ได้แก่ จีเซล บุนด์เชนสุดยอดนางแบบชาวบราซิลเลี่ยน วัย 28 ปี ที่มีรายได้ 25 ล้านดอลลาร์ (ราว 865 ล้านบาท) ด้วยค่าเหนื่อยที่มาจากการเป็นนางแบบให้กับกางเกงยีนส์ทรู ริลิเจียน ยีนส์, นาฬิกา Ebel, เครื่องสำอาง ดิออร์ นอกจากนั้นเธอยังเป็นเจ้าของรองเท้าแบรนด์ของตัวเองอีกด้วยอันดับ
2 ได้แก่ ไฮดี้ คลุม นางแบบชาวเยอรมัน วัย 35 ปี ที่กำลังจะเป็นคุณแม่ลูก 4 ในเร็วๆ นี้ มีรายได้ 16 ล้านดอลลาร์ (ราว 553.6 ล้านบาท) นอกจากนี้ ยังเป็นนางแบบให้กับชุดชั้นในชื่อดัง วิคตอเรีย"ส ซีเคร็ต เธอยังเป็นพิธีกรรายการโปรเจ็คต์ รันเวย์ และรายการสรรหานางแบบใหม่ เยอรมนี"ส เน็กซ์ ท็อป โมเดล แล้วยังออกแบบรองเท้าให้กับ Birkenstock, มีสัญญานางแบบกับไดเอ็ต โค้ก, รถโฟล์คสวาเกน, แมคโดนัล, บริษัทแอลจี แล้วยังออก แบรนด์เครื่องสำอางของตัวเองชื่อ อิน แอน อินสแตนท์ (In An Instant)
อันดับ 3 เคต มอส นางแบบอังกฤษ วัย 35 ปี เจ้าของตัวเลขรายได้ 8.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 294.1 ล้านบาท) ถึงแม้เธอจะถูกสื่อ "จิกกัด" ว่า แก่และอ้วนขึ้น แต่เมื่อปีที่แล้วมอสก็ยังได้งานเป็นนางแบบให้ เวอร์ซาเซ่, ลองชอมป์ (Longchamp) ทั้งยังดีไซน์แบบเสื้อแฟชั่นให้กับ ท็อปช็อป ร้านแฟชั่นของอังกฤษด้วยอันดับ
4 เอเดรียน่า ลิมา รายได้ 8 ล้านดอลลาร์ (ราว 276.8 ล้านบาท) นางแบบสาวชาวบราซิลเลี่ยน เจ้าของตำแหน่งซุปเปอร์โมเดล ออฟ เดอะ เยียร์ (สุดยอดนางแบบแห่งปี) จากการจัดประกวดของฟอร์ด จากนั้นก็มาแจ้งเกิดจากชุดชั้นใน วิคตอเรีย"ส ซีเคร็ต, ได้เซ็นสัญญากับเครื่องสำอาง Maybelline ที่กำลังจะหมดสัญญาลงปีนี้ พร้อมข่าวดี เธอกำลังจะมีลูกกับมาร์โค จาริค สามีนักบาสเกตบอล
อันดับ 5 เดาท์เซ่น โคร รายได้ 6 ล้านดอลลาร์ (ราว 207.6 ล้านบาท) นางแบบชาวดัตช์ เจ้าของริมฝีปากสวยสะดุดตา ซึ่งได้เป็นเจ้าของตำแหน่งนางฟ้าของ วิคตอเรีย′ส ซีเคร็ต คนล่าสุด และมีงานโฆษณาเป็นนางแบบของเครื่องสำอางลอรี อัล และน้ำหอมอีเทอร์นิตี้ ของ คัลวิน ไคลน์อันดับ
6 อเลสแซนดรา แอมโบรซิโอ วัย 28 ปี รายได้ 6 ล้านดอลลาร์ เท่ากับอันดับ 5 รายนี้ก็เป็น สาวสวยชาวบราซิลเลี่ยนอีกคนที่มาได้ดีมีชื่อเสียงจาก วิคตอเรีย"ส ซีเคร็ต และเป็นหนึ่งในทีมนางฟ้าของชุดชั้นในชื่อดังของอเมริกา หลังจากคลอดลูกได้แค่ 3 เดือน อเลสแซนดราก็หวนคืนแค็ตวอล์กด้วยหุ่นที่ฟิตเฟิร์ม และยังเซ็นสัญญากับ C&A ห้างค้าปลีกในยุโรป อันดับ
7 นาตาเลีย โวเดียโนวา 5.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 190.3 ล้านบาท) นางแบบชาวรัสเซียที่มาจากเด็กสาวยากจน เมื่อ รวยแล้วทุกวันนี้เธอจึงตั้งกองทุน Naked Heart Foundation ที่หาทุนสร้างสนามเด็กเล่นในรัสเซีย เธอเป็นนางแบบให้กับน้ำ หอม Guerlain ของ คัลวิน ไคลน์ และเป็นนางแบบให้กับเครื่องประดับ Jacob & Co
อันดับ 8 ดาเรีย เวอร์โบวี่ 4.5 ล้านดอลลาร์ (ราว 155.7 ล้านบาท) นาง แบบลูกครึ่งแคนาเดี้ยน-โปแลนด์ ที่ปรากฏโฉมในโปสเตอร์โฆษณาของ Balmain และ H&M แล้วยังเป็นนางแบบให้กับแฟชั่นแว่นตาของ โว้ก และ โรเแบร์โต คาวัลลิอันดับ
9 มิแรนดา เคอร์ 3 ล้านดอลลาร์ (ราว 103.8 ล้านบาท) นางแบบสาวชาวออสเตรเลียคนแรก ที่ติดอยู่ในทีมนางฟ้าแสนสวยของ วิคตอเรีย"ส ซีเคร็ต เธอเคยเป็นนางแบบให้กับเครื่องสำอาง Maybelline และ XOXO.
อันดับ 10 แคโรลีน เมอร์ฟี่ย์ 3 ล้านดอลลาร์ (ราว 103.8 ล้านบาท) นางแบบสาววัย 35 ปี ซึ่งปรากฏโฉมเป็นนางแบบของเครื่องสำอาง เอสเต้ ลอเดอร์ มายาวนาน ล่าสุดเธอยังเซ็นสัญญากับ Banana Republic และ Lord & Taylor ด้วยค่าตัวที่สูงเอาการ
คนที่ใช่กับคนที่ชอบ
เทคนิคออกเดท
1.ทำให้เป็นเรื่องธรรมดา คุณไม่ต้องมัวสารวนคิดตลบหน้าตลบหลัง รื้อเสื้อผ้าจากตู้มากองเต็มพื้นมาหาชุดเก่งที่จะทำให้คุณดูเริ่ด เพราะแทนที่คุณจะเสียเวลากับเรื่องเหล่านี้ คุณน่าจะเอาเวลามาคิดถึงเรื่องการเดทของคุณมากกว่า ว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหน และคุณจะคุยเรื่องอะไร เพราะการจะสร้างความประทับใจในครั้งแรกนั้น คือการเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
2.สวมรองเท้าที่ใส่สบายสาวๆหลายคนคิดว่าการสวมรองเท้าส้นยิ่งสูงปรี๊ดเท่าไหร่ จะช่วยเพิ่มความเซ็กซี่ให้กับตัวเองมากขึ้นเท่านั้น แต่คุณต้องรำลึกเสมอว่าในเดทแรกของคุณ ไม่ใช่แค่คุณจะไม่รู้จักคู่ควงของคุณดีพอ ยิ่งกว่านั้นคุณยังไม่รู้ว่าการเดทในวันนี้ของคุณจะไปจบลงที่ไหน มันคงไม่น่าสนุกเลยที่คุณสวมรองเท้าส้นสูงไปรับประทานดินเนอร์สุดหรูที่ทางเดินเป็นโขดหินเรียงราย หรือเป็นพื้นหญ้า ที่ส้นรองเท้าของคุณจะจมดินทันทีที่เหยียบลงไป นอกจากนี้การสวมรองเท้าที่ใส่ไม่สบายยังทำให้คุณอารมณ์เสียและอาจทำลายแผนการเดทสุดเริ่ดของคุณอีกด้วย
3.อย่าเมกอัพหนาเกินไปเพราะผู้ชายส่วนใหญ่มักไม่ชอบคู่เคทที่แต่งหน้าจัด ราวกับกำลังควงคู่กับนักแสดงละครเวที ซึ่งหนุ่มๆส่วนใหญ่จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบใบหน้าที่ดูเป็นธรรมชาติของสาวๆมากกว่า ทางที่ดีขอแนะนำว่าหากคุณจะแต่งด้วยสโมกกี้อาย หรือทาลิปแดง ควรเก็บไว้ในการเดทครั้งที่ 3 ดีกว่า
4.พกอุปกรณ์สำหรับปักเย็บติดไว้ในกระเป๋าตามกฎของเมอร์ฟี่บอกไว้ว่า ในระหว่างที่การเดทของคุณกำลังดำเนินไปด้วยดี ย่อมมีอุปสรรคใหญ่หลวงรออยู๋ และถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ถือคติกันไว้ดีกว่าแก้ คุณต้องไม่ลืมที่จะพกร่มพับ หรือ สเปรย์พริกไทย มินต์ ยาเคลือบเงาเล็บ (เพื่อกรณีเสื้อตัวเก่งของคุณเกิดการรุ่ย) และอุปกรณ์ตัดเย็บ
เคล็ดลับง่ายๆหากอยากเป็นคนฮ็อต
เคล็ดลับที่ 3 "ทางลัดแก้ปัญหาผู้ชายตัวเล็ก ด้วยลุคให้ดูสูง มีสง่า ราศี" (Tips to Look Taller) เลือกเสื้อคัตติ้งสไตล์สลิมฟิต เข้ารูปนิดๆ สวมเข็มขัด ตัวช่วยสำคัญที่ให้รูปร่างดูสูงขึ้น กางเกงทรงยาวพอดี ไม่กองพื้น จะช่วยให้ขาดูยาวขึ้น อย่าใส่กางเกงขาพอง หรือตีเกล็ด
เคล็ดลับที่ 4 "สลัดคราบหนุ่มขี้อาย" (Time to be Hot Guy) ใส่ยีนส์เดฟกับ เสื้อโปโล แล้วพับแขนทำให้ดูแมนขึ้น หรือใส่กางเกงทรงเบอร์มิวด้ากับรองเท้าผ้าใบ เคล็ดลับสุดท้าย "หนุ่มขี้เล่น ด้วยแฟชั่นสีสันสดใส" (Open Mind & Find Your Color) เพิ่มลูกเล่นให้เสื้อยืดสีฟ้าสดใส ด้วยเสื้อนอกลายสก๊อตสีส้มแมทช์กับยีนส์สุดเท่ หรือกับเสื้อสีม่วงขรึม กับเสื้อสว่างสดสีเขียว สวมรอง เท้าสปอร์ต และกางเกงเฉดสีเบจ-น้ำตาล ช่วยทอนความหวานและดึงเสน่ห์สดใสของสีเสื้อ เคล็ดลับง่ายๆ เปลี่ยนลุคส์ให้ฮ็อต
กล่องความสุขของหนูดี
วิธีสร้างตนให้เป็นคนสำคัญ
1. เสนอความคิดที่เป็นประโยชน์ การแนะนำความคิดถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถต่อผู้ร่วมงานและเจ้านายของคุณ
2. เป็นผู้อยู่เหนือความสำเร็จ ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถแสดงให้ใคร ๆ เห็นว่าคุณเป็นมืออาชีพ นั่นจะทำให้คุณ ได้รับการสนับสนุนในเวลาต่อมา ใช้เวลาอีกสักนิด หาวิธีสร้างผลงานได้เกินเป้าหมาย
3. เรียนรู้จากความผิดพลาด การปฏิเสธความผิดถือว่าใช้ไม่ได้และไม่ใช่มืออาชีพ จงแสดงความรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่ เกิดขึ้นด้วยคำว่า "เสียใจ" หรือ "ขอโทษ" จะทำให้คุณได้รับความชื่นชม แล้วหาวิธีไม่ให้เกิด ความผิดพลาดซ้ำอีก
4. เป็นนักแก้ปัญหา อย่ารีรอที่จะบอกเจ้านายหากคุณมองเห็นวิธีปรับปรุงระบบงานให้ดีขึ้น เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่า คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญ และเป็นนักแก้ปัญหา พยายามคิดอยู่เสมอว่า จะมีวิธีใดที่ช่วยให้ผู้ร่วมงาน ทำงานได้สะดวกขึ้น แล้วรางวัลก็จะเป็นของคุณในท้ายที่สุด
5. ประเมินผล ขอให้เจ้านายประเมินผลการทำงานของคุณทุกหกเดือน นั่นแสดงให้เห็นว่า คุณมีการเตรียม พร้อมต่อหน้าที่อยู่เสมอ ลองหาว่าเจ้านายมองเห็นจุดอ่อนใด ๆ ของคุณแล้วพยายามทำให้ได้ตาม ที่เขาหรือเธอต้องการ หากเจ้านายไม่มีเวลาให้คุณในเรื่องนี้ ลองถามว่า อะไรคือ จุดแข็งของคุณ และอะไรคือสิ่งที่เจ้านายต้องการให้คุณปรับปรุงแก้ไข เมื่อทราบแล้วก็ตั้งเป้าการทำงานองคุณขึ้น เอง
6. มองภาพรวม สนับสนุนความสำเร็จในอนาคตขององค์กร เช่น คิดหาช่องทางใหม่ ๆ ทางการตลาด รวบรวมแหล่ง เงินทุนใหญ่ ๆ หรือระดมสมองให้องค์กรเป็นที่รู้จักแก่สาธารณชนมากขึ้น พนักงานไม่ใช่มีคุณค่า เพียงแค่การปฏิบัติงานตามหน้าที่เท่านั้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ สิ่งที่พวกเขาทำให้เกิดกับองค์กร เพื่อความเติบโตและเจริญก้าวหน้า คุณต้องให้ความสำคัญกับผู้บริหารอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะ เจ้านายของคุณคนเดียว
คุณสมบัติคนไร้เสน่ห์
1.พูดเสียงดังและห้วน แบบมั่นใจมากๆ เขาอาจจะคิดว่าเป็นลักษณะของคนมั่นใจตัวเองสูง แต่คนได้ยินจะรู้สึกเหมือนถูก ข่มขู่ ตัดบท ผลักใส และเผด็จการ
2. มีวิธีการพูดที่เป็นพิษ เช่น ชอบพูดแทรก พูดตัดบทไม่เกรงใจ เป็นลักษณะของคนใจแคบ เผด็จการทางความคิด เอาตัวเองเป็นใหญ่
3. ทำเฉยเมยเวลาพูด เฉยเพราะเบื่อหน่ายชีวิต รำคาญ หรือเพราะหยิ่ง ยกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเวลาไปกินอาหารตามร้านที่ขายดีๆ พนักงานจะแสดงท่าทางเฉยเมยกับลูกค้า ใครสั่งอะไรก็ไม่สนใจ ไม่รับคำสั่ง บางคนยังทำท่าทางเข้มๆ แข็งๆ กระแทกกระทั้น เวลาส่งของให้ เคยมีลูกค้าบางคนเหลืออด สุดทนทาน ระเบิดอารมณ์ใส่สาวเสริฟว่า "อี...มึงจะขายหรือไม่ขายวะ ทำหยิ่งยะโส เดี๋ยวโดนดี" ได้ผลครับ..ทุกคนตะลึงสาวเสริฟมาดเข้มหน้าซีด รีบแก้ตัวแล้วเดินหนีไป กว่าจะออมชอมกันได้เกิดวางมวยกลางร้านอาหาร
4. แต่งตัวไม่เป็น อย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า "เชย" ทำให้คนที่ไปด้วยไม่เกิดความรู้สึกภูมิใจ รู้สึกเสียหน้าหรืออาย
5. ไม่มีจริต พบในผู้หญิงดีๆ หลายๆ คนที่มีลักษณะเรียบๆ ตรงๆ (บางคนบอกว่าเข้าข่ายทึ่มๆ) ควรมีจริตพองาม ให้แลดูเป็นธรรมชาติ และควรมีมารยาทในการเข้าสังคมในวาระต่างๆ ด้วย
6. มีนิสัยเอาแต่ได้ ชอบเป็นฝ่ายรับ ไม่เคยคิดจะให้อะไรใคร เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
7.ห่วงและกังวลในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มากไป ทำให้คนที่อยู่ใกล้รำคาญและหมดอารมณ์สุนทรีย์ไปด้วย
8. ชอบทำความดีจนเบียดเบียนตัวเองและคนใกล้ตัว เช่น ชอบช่วยคนอื่นจนทำให้ตัวเองและคนใกล้ตัวลำบาก ห่วงใยคนอื่นจนลืมห่วงใยคนรักหรือคนใกล้ตัว คนใกล้ตัวจะน้อยใจและคิดว่าไม่สนใจเขา
9. ฉลาดแบบเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์
10. สนใจเรื่องเซ็กส์มากเกินไป ก็ทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญหรือรังเกียจ
11. แสดงความเป็นผู้ใหญ่มากเกินไป ทำให้ขาดอารมณ์ขัน ทุกอย่างเอาจริงเอาจังไปหมด คนที่ไร้เสน่ห์นี้ไม่ใช่คนทำผิดหรอก เป็นแต่เขาไม่ได้ทำอะไรให้ถูกใจเพื่อนมนุษย์เพื่อยึดความสัมพันธ์ดีๆ ออกไป ในอนาคตจะมีคนไร้เสน่ห์มากขึ้น ถ้าแต่งงานกันไปแล้ว ปรากฏว่าคู่สมรสเป็นคนไร้เสน่ห์ ก็เป็นสาเหตุให้อย่าร้างกันได้ในหลายๆคู่ เรื่องของเสน่ห์ จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับความรักและชีวิตคู่
อย่าพยายามให้คนอื่นเหมือนเรา
ซ่อมได้
ประโยชน์ของไหมขัดฟัน
ฉลาดแบบนี้นะจะดีเหรอ
ป้า : นี่เจ้าตัวยุ่งเปิดเทอมหน้านี้น่ะ ถ้าป้าจะให้ไป-กลับโรงเรียนเองคนเดียวไปได้ไหม?
หลาน : ได้สิป้า หนูไปได้อยู่แล้ว
ป้า : ถ้าขึ้นรถเมล์แล้วจะลงป้ายหน้าบ้านถูกหรือจ๊ะ
หลาน : ถูกจ้ะ หนูจำทางได้แล้ว
ป้า : ถ้ากดกริ่งไม่ถึงจะทำยังไงล่ะ
หลาน : หนูก็บอกกระเป๋ารถให้กดให้น่ะสิป้า
ป้า : อืมม์ ใช้ได้นะเนี่ยเราน่ะ แล้วถ้ากระเป๋าอยู่ไกลแล้วไม่ได้ยินเราพูดล่ะ
หลาน : หนูก็ตะโกนบอกคนขับน่ะสิไม่เห็นยากเลย
ป้า : เก่งมากหลานป้า....รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้แล้วหนูจะบอกคนขับรถว่ายังไงล่ะลูก?
หลาน : หนูก็ตะโกนบอกคนขับสิว่า "กดกริ่งด้วยยยยยยย" ป้า : ????????
นิ้วกลาง
"พ่อครับ พ่อใช้มือทำอะไรบ้าง?"
"นิ้วชี้นะ พ่อใช้มันชี้ไปที่ที่พ่อต้องการ นิ้วโป้งนี่ พ่อใช้เวลาเปิดหนังสือ ส่วนนิ้วนางพ่อใช้มันตอนแต่งงาน นิ้วก้อยพ่อใช้แคะจมูก ส่วนนิ้วกลางพ่อจะบอกหลังจากลูกแต่งงานแล้ว"
วันเวลาผ่านไป ลูกชายโตขึ้นและแต่งงาน ก่อนเข้าห้องหอลูกชายไม่ลืมถามพ่อ "พ่อครับ หลายปีมานี้ผมใช้นิ้วชี้ชี้ไปที่ที่ผมต้องการ ใช้นิ้วโป้งเปิดหนังสือ ใช้นิ้วก้อยแคะจมูก ตอนนี้ผมใช้นิ้วนางใส่แหวนแต่งงาน ...แต่พ่อครับแล้วนิ้วกลางล่ะครับจะใช้ทำอะไร?"
พ่อเขยิบเข้าไปใกล้ลูกแล้วพูดช้าๆ"คืนนี้ลูกคงจะต้องมีความสุขกับแฟนหลายๆ ครั้งและลูกก็จะเหนื่อย เมื่อแฟนของลูกยังต้องการอีก..." พ่อหยุดสักพัก "...ก็ใช้นิ้วนี้แหละ กดไปที่หัวเธอ แล้วพูด 'ไปนอนได้แล้วนังโง่'"
อาการท่าจะแย่อาการหมอนะ
เออใช้วิธีนี้ก็ดีนะ
หมอโรคจิต
เมื่อถึงลานประหาร
อย่าเหยียบเป็ดนะ
พอถึงคราวคนแก่
ทุกครั้งที่รถเมล์จอดป้ายให้ผู้โดยสารขึ้น - ลง กระเป๋าขี้เล่น ก็จะตะโกนบอกลูกพี่ตลอดเวลา...
อย่างเช่นมีผู้โดยสาร (สตรี) ลงป้ายที่ 1กระเป๋า : ลูกพี่จอดนิ่งๆ... ผู้หญิงจะลงพอเลยมาป้ายที่ 2 ผู้หญิงหน้าตาสวย รูปร่างดี ยืนขึ้นเตรียมลงกระเป๋า : ลูกพี่จอดด้วยๆ... คนสวยจะลงพอมาถึงป้ายที่ 3 ผู้หญิงหน้าตาออกจีนๆ หน่อย ยืนขึ้นเตรียมลงกระเป๋า : ลูกพี่ จอดสวยๆ... อาหมวยจะลงคราวนี้ถึงป้ายที่ 4 คุณยายแก่ๆ ยืนขึ้นเพื่อเตรียมตัวลงกระเป๋า : ร้องตะโกนลูกพี่ จอดแน่ๆ (ยังไม่ทันพูดต่อ)คุณยายตะโกนสวนขึ้นมาทันที : ไม่ต้อง ไม่ต้อง กูบอกเองลูกพี่ จอดแน่ๆ "แ ม่ จะลง" ------------------------------
อาการนี้เป็นอาการของโรคทรัพย์จาง
การรักษา ยังไม่มียาชนิดใดที่จะบำบัดโรคนี้ได้โดยตรงในปัจจุบัน แต่สามารถรักษาได้ตามอาการที่ปรากฏ เช่น ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะ (เป็นกันโดยมาก) ก็ควรใช้ยาลดไข้ 1-2 เม็ด ทุก 4 ชั่วโมง ได้แก่ยาพาราเซตามอล ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ ถ้าผู้ป่วยมีอาการหงุดหงิด กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ ควรใช้ยาคลายประสาท ตามที่แพทย์แนะนำ ห้ามใช้เกินขนาด เพราะจะเกิดอันตรายต่อผู้ป่วยได้ (ห้ามใช้สตริกนินโดยเด็ดขาด) ควรให้ผู้ป่วยได้ออกกำลังกาย พักผ่อน ในที่ลับตาคน อย่าพาผู้ป่วยออกนอกบ้าน เพราะอาจเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ได้ การกระทำเช่นนี้นอกจากจะไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้ว กลับจะมีอาการทรุดหนักลงเรื่อย ๆ อาการดูน่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย แต่อาการของผู้ป่วยจะกระเตื้อง ตื่นเต้นได้อีกครั้งก็ถึงตอนปลายเดือนนั้น ๆ แต่บางรายก็ไม่ดีขึ้น กลับทรุดหนักลงไปอีก เนื่องจากการอักเสบของดอกเบี้ย ไม่ควรนำผู้ป่วยไปรักษายังโรงพยาบาลเอกชนเพราะอาจจะทำให้เกิดอาการช็อคได้ เมื่อเห็นใบแจ้งหนี้ ทางที่ดีควรนำไปรักษายังสถานธนานุเคราะห์, สถานธนานุบาล โดยให้ผู้ป่วยนำของที่มีค่าติดตัวไปด้วย ซึ่งเป็นการรักษาอย่างปัจจุบันทันด่วน และตรงตามอาการของโรคมากที่สุด
ปัญหาของเด็ก
รวมมุกจีบสาวเห่ยดีอ่ะ
ช> คุณๆขเยิบซ้ายหน่อยสิ
ญ> ทำไมอ่ะค่ะ
ช> หัวใจเราจะได้ตรงกันไง
+++++++++++++
ช>กลัวโทรศัพท์ระเบิดจัง !!!
ญ>ทำไมอ่ะค่ะ
ช> ก้อมันอัดเเน่นไปด้วยความรักไง
+++++++++++++++++
คุย โทรศัพท์อยู่ อืม เธอใช้มือข้างไหนคุยโทรศัพท์อยู่อ่ะ (ข้างขวา/ซ้าย) เรารักเธอนะ อืมลองเปลี่ยนข้างดิ (อืมเปลี่ยนแล้ว) เราเกลียดเธอแล้ว (ทำไม) ก็เรารักเธอข้างเดียวอ่ะ
+++++++++++++++++
ชาย: เฮ้ย ผึ้ง หญิง: อะไรผึ้งเผิ้งอะไร ฉั้นไม่กลัวหลอก
ชาย: ผึ้งจริงๆ
หญิง: พอเหอะก็บอกแล้วไงว่าไม่กลัว
ชาย: ผึ้ง...ผึ้งรู้ว่ารักเธอ
++++++++++++++++++++++++
ช) หันอีกข้างมาไม่ได้หรอ
(ญ) ทำไมอ่ะ
(ช) ก็เราไม่อยากรักเธอข้างเดียวไง
++++++++++++++++++++++
ชาย: เธอเห็นอะไรบางๆรึเปล่า
หญิง: อะไรเหรอ
ชาย: สายใยที่เชื่อมระหว่างเราสองคนเอาไว้ด้วยกันไง (อ่า นะ)
************
++ : ทำไงดีอ่า..เราตาบอดสีอ่ะ
++ : โห..จิงอ่ะ แน่ใจเหรอ?
++ : อืมม..แน่ใจดิ.. ก็เราเห็นโลกเป็นสีชมพูอ่ะ
*******************
ชาย: รักของเธออยู่ที่ไหน
หญิง: แล้วทำไมหละ
ชาย: จงออกมามอบตัวกับเราเสียโดยดี....ตอนนี้"ความคิดถึง"ล้อมไว้หมดแล้ว ห
ญิง: เล่นซ้ะ
************
ชาย: ได้ยินเสียงอะไรป่าว
หญิง: เสียงอะไรไม่เห็นได้ยินเลย
ชาย: ก็เสียงของเราที่ก้องร้องอยู่ในหัวใจเธอทุกนาทีไง (เอื้อ!)
*************
ชาย: ผมยาวจัง
หญิง: แล้วจะทำไมเหรอ
ชาย:เปล่าหลอก ว่าจะยืมมามัดใจหน่อย
********
ชาย: รู้มั้ยว่าวันทุกๆวันผมจะคิดถึงคุณแค่ 2 ครั้ง
หญิง: ตอนกินข้าว กับอยู่กับแม่เหรอจ๊ะ(เคยโดนแบบนี้หละ)
ชาย: เปล่าก็แค่ตอนที่หลับกับตอนที่ตื่นอยู่เอง (Work นะจะบอกให้)
************
เพือน2 กำลังง่วนกับการหาอะไรบางอย่างอยู่ ทำหน้าตาเครียดซะด้วย เพื่อนหนึ่งเลยถามไปว่า
เพื่อน1: หาอะไรอยู่วะ
เพื่อน2: หารักแท้ เ
พื่อน1: ************* อยากเป็นเบอร์ดี้จัง(ทำไมอะ)ก็จะได้เป็นหนึ่งในใจคุณไง ถ้าชอบไงก้อบอกนะ +++++++++++++++++++++++++++
ช) บ้านคุณไฟดับรึป่าว
ญ)ไม่ดับ ทำไมเหรอ
ช) บ้านผมไฟดับ
ช)ผมเพิ่งรู้ว่าถ้าไฟดับผมอยู่ได้ แต่ถ้าผมขาดคุณผมคงอยู่ไม่ได้
เรื่องของหวีกับเจล
อย่าผิดสัญญานะผู้ชาย
วันหนึ่งสมชายเกิดปวดท้องขนาดหนัก จึงรีบวิ่งตรงเข้าห้องน้ำสาธารณะ แต่...โชคไม่เข้าข้าง เพราะทุกห้องเต็มเหยียด แถมไม่มีทีท่าว่าใครจะออกมาหลังจากที่เขาเดินกระวนกระวายอยู่หลายนาทีเผอิญมีหญิงสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้า และเดาได้ว่าสมชายกำลังกลัดกลุ้มกับปัญหาทุกข์หนักเช่นใดหญิงสาวจึงตรงเข้ามาหา และพูด้วยความเห็นใจว่า "คุณค่ะ ห้องน้ำหญิงว่างอยู่ค่ะ""แต่ว่า ...อ่า..." สมชายยังมีอาการ ลังเล"เถอะค่ะ .. ฉันเห็นใจ ฉันยินดีจะเฝ้าให้ ถ้าคุณยอมสัญญากับฉัน 3 ข้อ"หญิงสาวยื่นเงื่อนไข "ครับ ๆ ๆ ..ผมตกลง สัญญาอะไรบ้างครับ"สมชายรับปากด้วยความเต็มใจยิ่ง เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรในลำไส้ใกล้ระเบิดออกมาใช้ขายขี้หน้าอยู่รอมร่อ"ข้อแรก คุณต้องรีบใช้ห้องน้ำให้เร็วที่สุดในระหว่างทีฉ้นเฝ้าให้"
"ข้อ 2 คุณต้องรักษาความสะอาด ห้ามทำให้เลอะเทอะ สกปรกเด็ดขาด พวกผู้ชายน่ะ ชอบทำห้องน้ำสกปรก" "ข้อ 3 ต่อเลยครับ ผมไม่ไหวแล้ว เร็ว ๆๆ"ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด คุณต้องสัญญาว่า ห้ามกดปุ่มใด ๆ ทั้งสิ้นในห้องน้ำหญิง นอกเหนือจากปุ่มชักโครก" คำสัญญาข้อสุดท้ายแม้จะทำสมชายค่อนข้างงง แต่เขาก็รับคำเนื่องจากปวดท้องจนทนไม่ไหว ว่าแล้วสมชายก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำ
หลังปลดทุกข์ อันหนักหน่วง เขาจึงมีโอกาสได้พิจารณาห้องเล็ก ๆ โดยรอบ ซึ่งพบว่าไม่มีอะไรต่างจากห้องน้ำชายสักเท่าไหร เว้นแต่ ..ปุ่มแปลกประหลาดจำนวน 3 ปุ่ม สีเขียว สีฟ้า และสีแดง อยู่ที่ผนังห้องน้ำ แถมปรากฎอักษรย่อ "น.อ" ที่ปุ่มสีเขียว "พ.ล" ที่ปุ่มสีฟ้า และ "ด.ผ.อ.น.ม." ที่ปุ่มสีแดง สมชายเริ่มเกิดความอยากรู้ อยากเห็น เพราะห้องน้ำชายไม่ยักมีปุ่มพวกนี้
เขาจึงอดไม่ได้ที่จะละเมิดคำสัญญา ลองกดปุ่มแรกที่เขียนว่า "น.อ" ทันใด..สิ่งน่าประหลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฎมีสายน้ำอุ่นพุ่งขึ้นฉีดล้างทำความสะอาดบั้นท้ายของเขาอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบาย สมชายจึงรู้ว่า ที่แท้ "น.อ"ย่อมาจากน้ำอุ่น! ขณะนึกอิจฉาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำหญิง เขาก็อดใจไม่ไหว ต้องลองกดปุ่มที่สองที่เขียนว่า "พ.ล"
ทันใดนั้น ก็มีสายลมพัดพุ่งตรงใส่บั้นท้ายเขา เป่าให้แห้งอย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบายเช่นเคย ทีนี้ สมชายจึงเข้าใจกระจ่างว่า "พ.ล" แปลว่าพัดลม!
เมื่อสมชายเห็นความอัศจรรย์สุดยอดของบริการทันสมัยไปสองปุ่มแล้ว เขาอดใจไม่ได้ที่จะลองกดปุ่มสุดท้ายที่กำกับด้วยตัวอักษรย่อที่ยาวที่สุดว่า "ด.ผ.อ.น.ม" พลางนึกว่าปุ่มนี้น่าจะเป็นทีเด็ดสุดยอด
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแล่บ
กว่าสมชายจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนได้สติที่โรงพยาบาล ทันทีที่สมชายลืมตาขึ้น เขารีบถามพยาบาลที่อยู่ตรงหน้าทันทีว่า .."นี่มันที่ไหนกัน ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย เกิดอะไรขึ้น ผมจำได้ว่าผมเข้าไปใช้บริการที่ห้องน้ำหญิง แล้วผมมาอยู่ที่นี้ได้ไง" "ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ ที่คุณต้องมาอยู่นี่ ก็เพราะคุณไปกดปุ่มสีแดงเข้าน่ะค่ะ"
เมื่อสมชายทำหน้างง พยาบาลสาวจึงเฉลยว่า "ปุ่มสีแดงที่มีอักษรย่อว่า "ด.ผ.อ.น.ม" หมายถึง "ดึงผ้าอนามัย" ไงค่ะ ..
ฉันต้องแสดงความเสียใจด้วย เพราะคุณหมอต่อให้คุณไม่สำเร็จค่ะเครื่องมันจัดการดึงแล้วยัดลงชักโครกไปแล้วล่ะนะค่ะ"
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552
อาหารมื้อสุดท้าย
นักโทษสามคนกำลังจะถูกนำตัวไปประหารชีวิต เจ้าหน้าที่ก็มาถามว่าก่อนตายทั้งสามต้องการกิน อะไรเป็นมื้อสุดท้าย "ผมอยากกินพิซซ่า" คนแรกตอบ เขาได้กินพิซซ่าจานโตและถูกนำตัวไปประหาร
"ผมอยากกินไก่ทอดเคเอฟซี" คนที่สองบอก เขาได้กินไก่ทอดเคเอฟซีรสเข้มข้นแล้วก็ถูกนำตัวไปประหาร
"ผมอยากกินบัวหิมะพันปี" คนที่สามบอก "แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาบัวหิมะพันปีออกนะ" เจ้าหน้าที่บอก "ไม่เป็นไรครับ ผมรอได้........
อยากเป็นใช้
ลูกชาย 1 : ทหารครับ จะได้ป้องกันประเทศชาติ ลูกชาย
2 : อยากเป็น คุณหมอครับแม่ จะได้รักษาคนไข้
แม่ : ดีดีดี แล้วลูกสาวแม่ล่ะอยากเป็นอะไร
ลูกสาว : อยากเป็นคนใช้ค่ะแม่ แม่ : (เกิดอาการงงสุดขีด) ทำไมอยากเป็นคนใช้ล่ะลูก
ลูกสาว : หนูอยากให้คุณพ่อกอดหนูนานๆ บ่อยๆ ค่ะ