วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สอนโดยไม่สอน

สอน โดย ไม่สอน
ช่วงแรกๆที่ผม สนใจเรื่องเกี่ยวกับเซน ดูจะหาตำราที่ แยกเป็นเอกเทศหมวดหมู่ได้ยากมาก คือ มักจะพบกล่าวถึงเกร็ด ต่างๆซะมากกว่า เช่นคำสอนของปรมจารย์ทางเซน ซึ่งผมรู้สึกว่าหลายๆท่านสอนได้ แหวกดี
แต่พอเริ่มรวบรวมแนวคิดต่างๆมากขึ้นก็รู้แล้วว่า ไม่แปลก ผมรู้สึกว่าปรมาจารย์ทางเซน หลายๆท่านนั้นคล้ายผู้กำกับหนัง อินดี้ ซึ่งบางครั้งก็ทำหนังดูแล้วตัวเองก็เข้าใจอย่างหนึ่ง
แต่คนดูไปตีความอีกอย่างหนึ่ง ตามจริตของแต่ละคน นักวิจารณ์บางท่านอาจซึมทราบกับ ภาพที่สั่นไหว โดยตีความว่าเกิดจากความพยายามแสดงอารมณ์ อันหวั่นไหวของตัวละคร ในขณะที่จริงๆแล้วภาพที่สั่นอาจเกิดจากตากล้อง ทะเลาะกับเมียเลยลืมขาตั้งกล้องมา
โอ๊ตเพื่อนผมเคยบอกว่าเคยดูหนังอินดี้เรื่องหนึ่งแล้วตื่นตาตื่นใจกับการนำเสนอของผู้กำกับมาก ตัวละครดูไม่มีที่มาที่ไป ดำเนินเรื่องไปสิบห้านาทีพระเอกตายซะงั้น มันบอกว่ารู้สึกถึงความกล้าหาญของผู้กำกับมากที่ กล้า “ฆ่า”พระเอกภายในสิบห้านาทีแรกทำให้มันอยากรู้ว่าเรื่องที่เหลือจะดำเนินต่อยังไง แต่ดูไปอีกสองนาที...........หนังจบแล้ว.....
โอ้โห เป็นงานที่กระชากใจผู้ชมยิ่งนักที่ให้บทสรุปอัน ห้วนสั้น ที่ทิ้งปมสงสัยไว้กองพะเนินให้กับจิตใจผู้ชม มันยอมรับว่าไม่เคย “ติดใจ” หนังเรื่องใดเท่าเรื่องนี้มาก่อน นี่อาจเป็นความ สุดยอดของผู้กำกับ ที่กล้า “เล่น” กับความรู้สึกคนดูขนาดนี้.....
หนังจบเอาแผ่น (วีซีดี) ออกจากเครื่อง ถึงกับทำให้มันพิจารณาที่แผ่นอย่างละเอียดมิได้........... แล้วความกระจ่าง ก็ เกิดขึ้นกับมันเหมือน ฟ้าผ่ากลางหน้าแล้ง.............. บางครั้งความรู้แจ้งอาจเกิดขึ้นเอง..........

......................................................แผ่นที่สอง..B..............................................................................
…..(-_-“).............
......นี่ตูหยิบแผ่นผิดนี่หว่า..............
อืม นี่อาจเป็นความตั้งใจของผู้กำกับก็ได้(มั้ง) ถ้าดูแผ่น A ก่อน ความรู้สึกมันอาจต่างจากนี้ก็ได้.......
แต่ ปรมาจารย์ทางเซนคงเข้าใจในจุดนี้ ถึง เป็นตำราคัมภีร์ หรือ เป็นแบบแผน อย่างไร สิ่งใดๆในโลกก็ล้วนแต่ต้องผ่านการตีความ เฉพาะ บุคคล อยู่ดี ซึ่งประสบการณ์แต่ละคนย่อมต่างกัน
การรู้แจ้ง เป็นแนวทางเฉพาะบุคคล แต่ละคนต้องแสวงหาหนทางของตนเอง ดังนั้น หลายๆท่านจึงเลือกที่จะ “สอน โดย ไม่สอน”
สอน โดย ไม่ต้องพูด สอน โดยสัญลักษณ์ สอน ด้วยคำพูดแปลกๆ บาง ท่านสอนด้วยงานศิลปะ ( ศิลปะ หลาย แขนง ในจีน หรือ ญี่ปุ่น ล้วนได้รับ อิทธิพลจากแนวทางเซนค่อนข้างมาก)
เชื่อกันว่า คำสอนแนวทาง “เซน” ครั้งแรกเกิดขึ้น เมื่อ พระพุทธเจ้า ประชุม สงฆ์ ที่ ภูเขา คิชกูฎ อยู่ๆ พระองค์ก็ หยิบ ดอกไม้ ช่อหนึ่ง ที่ พุทธศาสนิกชนนำมาถวาย ขึ้นมาโดยไม่ได้พูดอะไร.....
พระสงฆ์ ที่ มาร่วมประชุม ก็ นั่งนิ่ง....... ไม่แปลก...... เป็นคุณ หรือ ผมก็คงจะทำอย่างนั้น.....
แต่ มี พระ รูปหนึ่ง ที่ต่างออกไป........
“พระมหากัสปะ เถระ”
ท่านยิ้ม
พระพุทธเจ้า จึง ทรง มอบช่อดอกไม้ให้ แล้วตรัสว่า
“ดูกร มหากัสสปะ.....เราขอมอบทรัพย์อันประเสริฐ คือ โลกุตตรธรรมนี้ให้แก่เธอ ณ บัดนี้”
(ที่มา ที่เดิม จากหนังสือ นิกายเซน เขียนโดย มรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช)
และ พระมหากัสปะ ท่านคือ พระสังฆปริณายก องค์ที่ 1.........
เป็น ตำนาน ที่ “ART” มาก.....ใช่ไหมครับ
ตำนานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า................
นั่นสิครับสอนให้รู้ว่าอะไร จริงๆมีคนแปลความหมายตำนานเรื่องนี้ไว้หลายท่าน และ พยายาม บอกว่า สื่อถึงหลักธรรมข้อไหน เหมือนกัน แต่ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า....... เป็นการตีความภายหลัง ซึ่งอาจไม่จำเป็นเลยก็ได้เพราะ ผมเชื่อว่า คนที่ “เข้าใจ.....ไม่ใช่สิ ผมอยากใช้คำว่าเข้าถึง คำสอน จากดอกไม้ช่อนั้นจริงๆ อาจ มีเพียงท่าน มหากัสปะ เพียง ท่านเดียวก็ได้..............
เพราะ การบรรลุธรรม เป็น หนทางเฉพาะตน
มีคน ชี้ทางได้.....
แต่ ต้องเดินไปเอง.....
ส่วนจะไปถึง หรือ ไม่........ไม่ รู้.....
เพราะจะรู้ ก็ต่อเมื่อถึงเวลา...................
ขอจบห้วนๆด่วนๆแต่เพียงเท่านี้ บทความเรื่องนี้ไม่มีแผ่นที่สองครับ ถ้างงก็ช่วยไม่ได้ แล้วกัน แต่ผมเขียนแล้วผมรู้สึกว่า ตัวเองเข้าใจ......(มั้ง)นะ.....
บทหน้าจะกล่าวถึง ท่านตั๊กม้อ...พระสังฆปริณายก องค์ที่ 27 ที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อ ต้นกำเนิดของนิกายเซน คอนิยายกำลังภายในคงคุ้นชื่อกันดี........โปรดตามต่อด้วยใจระทึก...นะตัวเอง...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ผู้ติดตาม